‘พงษ์ศักดิ์’ ปลุกกระจายอำนาจ ชี้รบ.ส่วนกลางไม่รู้ปัญหาท้องถิ่น ย้อนไม่ต้องถามปชช.พร้อมหรือยัง

‘พงษ์ศักดิ์’ ปลุกกระจายอำนาจ ชี้รบ.ส่วนกลางไม่รู้ปัญหาท้องถิ่น ย้อนไม่ต้องถามปชช.พร้อมหรือยัง ยกโมเดลจีน ให้อำนาจท้องถิ่น 70:30%

เมื่อเวลา 14.25 น. วันที่ 23 สิงหาคม ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ กรุงเทพมหานคร หนังสือพิมพ์มติชนเปิดเวที Talks for Thailand รัฐ ลวง ลึก โดยเลือกสรรวิทยากรชั้นนำระดับแถวหน้าของแต่ละปัญหามาสะท้อนภาพให้มองเห็นแบบเจาะลึก ทั้งปัญหาการเมือง ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาอำนาจไม่ยอมกระจาย ปัญหาลับ ลวง ล่อ ปัญหาความมั่นคงหลงทิศ และปัญหาความยุติธรรม วิทยากรจะร่วมฉายภาพสิ่งที่เกิดขึ้นและบั่นทอนความอดทนของคนไทย เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักและเร่งสกัดมิให้บานปลายไปมากกว่านี้

โดยนายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวบรรยายในหัวข้อ “การกระจายอำนาจ ทะลุมิติ” ว่าประเด็นทำไมจึงต้องมีการกระจายอำนาจนั้น การกระจายอำนาจคือการแก้ปัญหาโดยตรงและรวดเร็วและประหยัดทรัพยากรโดยเฉพาะ เวลา ยิ่งเวลายิ่งเนิ่นนานความเสียหายยิ่งมากขึ้น

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ขอยกตัวอย่างกรณีของจังหวัดยะลาที่เกิดขึ้น อาทิ โรคใบร่วง และโรคกล้วยหิน เกิดมานานกว่า 5 ปี แต่ยังไม่มีใครแก้ไขได้ พอเรามานั่งคิดว่าทำไมมันจึงเกิดขึ้น ปัญหาของรัฐส่วนกลางอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาของท้องถิ่น และปัญหาของท้องถิ่นเองก็อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาของรัฐกลาง

“นั่นหมายถึงการที่จะให้รัฐบาลกลางมาดูแลกล้วยหินซึ่งเป็นพืช GI ของยะลา ก็อาจจะมีความรู้สึกว่า เขาไม่มีคน หรือเวลาเพียงพอในการที่จะให้รัฐไปช่วย ในเรื่องของยางพารา เขาก็อาจจะคิดว่าวันนี้เขาไม่ได้ต้องการส่งเสริมให้มีการปลูกยางพาราแล้ว เพราะมัน oversupply เพราะฉะนั้น ตายไปก็ดี เพราะว่าจะได้ไปปลูกพืชชนิดอื่น แต่เขาลืมไปว่ายังมีชาวสวนรายเล็กอีกจำนวนมากที่ไม่มีแม้กระทั่งที่ เมื่อยางตายแล้วจะต้องไปปลูกทุเรียน ต้องรอใช้เวลารออีก 5 ปี สุดท้ายก็การขายสวนทิ้งไปเป็นแรงงาน ความยากจนก็กลับมา” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

ADVERTISMENT

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับว่าแต่ละท้องถิ่นมีจัดเด่นมากมาย มีทุนที่มหาศาล แต่วันนี้เราแทบจะไม่ได้ใช้ จริงๆ อยากจะเรียนว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นพรรคแรกที่พูดเรื่องนี้ คือ โอทอป แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยได้ทำนั้น เพียงแต่ยังไม่ได้สุดซอยเท่าพรรคก้าวไกล เช่น กรณีการปลดล็อกการผูกขาดสุราก้าวหน้า ซึ่งนั่นก็คือโอทอปอย่างหนึ่ง

“นี่คือจุดแข็งที่เคยสร้างขึ้นมาในอดีต แต่สามารถสร้างให้มูลค่าเพิ่มในภาวะโลกปัจจุบันได้ ขณะเดียวกันศักยภาพในเชิงพื้นที่ ผมคิดว่ามันมีอย่างมากมาย คนที่รู้ดีที่สุดไม่มีใครรู้ดีเท่าท้องถิ่น เฉะนั้นถ้าท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นสามารถมีการวิจัยขึ้นมาแล้วทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็น มีมูลค่า ผมคิดว่ามันมีค่ามหาศาลแล้วมาต่อยอด มันก็จะทำให้ประเทศชาติมีจุดแข็งอีกมากมายที่จะเกิดขึ้น” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า หากยกตัวอย่างประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะเขาต้องแข่งกันตลอดเวลา ด้วยประชากรที่มากก็ดี หรือด้วยเมืองแต่ละเมืองที่ต้องแข่งกันก็ดี สิ่งที่ทำให้จีนประสบความสำเร็จก็คือ 1.มีการเลือกตั้งจากกรรมการหมู่บ้านในปี ค.ศ. 1998 2. คือ การกระจายอำนาจทางการคลังลงในพื้นที่ ซึ่งในอดีตก่อนที่จะมีการกระจายอำนาจไม่ได้ต่างกับรัฐบาลไทยในปัจจุบันที่ให้ท้องถิ่นประมาณ 29.6% ซึ่งประเทศจีนในยุคนั้นก็เช่นเดียวกัน แต่ในปัจจุบันจีนลงเม็ดเงินเข้ามาในท้องถิ่นประมาณ 70% รัฐบาลกลางเหลือเพียง 30%

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า สิ่งที่ทุกท้องถิ่นต้องแข่งกัน วันนี้ในโลกโซเชียล ผมทำ แต่นายกฯปัตตานีไม่ทำ นายกฯปัตตานีอยู่ไม่ได้ ผมทำหาดใหญ่ไม่ทำนายกหาดใหญ่อยู่ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายประชาชนเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ ขณะเดียวกันเราต้องยอมรับว่าสิ่งที่มันเป็นปัญหาในปัจจุบัน

“ถ้าเรานึกภาพก่อนเลือกตั้ง ผมขออนุญาตไม่เอ่ยนามแล้วกัน แต่ท่านคงเห็นบางพรรคการเมืองบอกว่า ถ้าคุณกวาด ส.ส. ในจังหวัดนี้ได้ผมให้โควตารัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง ท่านลองนึกภาพว่าถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ อะไรจะเกิดขึ้น วันนี้ทรัพยากรอยู่ที่ส่วนกลาง การที่ได้รัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง คือการเข้าไปเอาทรัพยากรจากส่วนกลางลงไปพัฒนาบ้านตัวเอง” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในอนาคตถ้าเป็นแบบนี้นานๆ จะเกิดพรรคเชียงใหม่ พรรคโคราช สุดท้ายประเทศที่รัฐธรรมนูญไทยบอกว่าเป็นรัฐเดี่ยวแบ่งแยกไม่ได้นั้นเป็นเพียงคำพูด สุดท้ายทุกคนเอาเข้าบ้านตัวเอง ยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำที่ตามมา แต่ตราบใดก็ตามมีการกระจายอำนาจที่เกิดขึ้น มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรมแล้ววัดฝีมือผู้บริหาร ถ้าผู้บริหารเมืองไหนที่เก่ง ก็จะพาบ้านเมืองเดินไปได้ ในขณะเดียวกันผู้บริหารที่อาจจะไม่มีความสามารถที่จะแข่งขันพอ 4 ปี ถึงเวลาก็จะเปลี่ยนไป ประชาชนเขารับรู้มาโดยตลอดว่าเขาจะเลือกผู้นำแบบไหนในการนำพาบ้านเมืองเขาเดินไปได้

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เข้าใจว่าวันนี้ประเทศไทยเราขาดผู้นำอย่างมาก เราเห็นจีนมีการสร้างผู้นำตั้งแต่ระกับล่าง วันนี้สิงคโปร์เองมีการสร้างผู้นำขึ้นมา ก็เริ่มไต่เต้าขึ้นมาจากผู้นำท้องถิ่นทแม้กระทั่งสีจิ้นผิง ก็เคยเป็นนายกเทศมนตรี ฉะนั้นการที่เรามีการกระจายอำนาจ ก็เหมือนกับโรงเรียนฝึกผู้นำในการสร้างผู้นำให้กับประเทศเราต่อไปในอนาคต ถ้าเราทำแบบนี้มันจะไม่มีทางลัด ทุกคนจะมาด้วยความสามารถแล้วก็พาประเทศไทยไปตามครรลองที่ควรจะไป

“ตราบใดถ้าเรายังอยู่แบบนี้ ผมถามว่า วันนี้การที่เราทำอีอีซี สุดท้ายเราแก้ปัญหาการกระจายรายได้ได้ไหม ไม่มีทาง สุดท้ายก็จะรวยกระจุกตัวอยู่ใน 5 จังหวัดที่เกิดอีซีซี แต่อีก 70 จังหวัดก็ยังยากจนเหมือนเดิม แล้วเกิดการแรงงานที่ไหลกันกลับเข้าไป แต่ทำไมเราไม่ทำในสิ่งที่บอกว่าเรากระจายความเจริญเข้ามาใช้ศักยภาพของท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ แล้งทำให้มันเกิดการแข่งขันสุดท้ายมันก็มีการกระจายความเจริญอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อเราพูดถึงการกระจายอำนาจก็มีวาทกรรมที่ว่า “ประชาชนมีความพร้อมหรือยัง” มีโอกาสไปชี้แจงในสภาในวันที่แก้ไขรัฐธรรมนูญจะมี 2 คำพูด คือ 1. ท้องถิ่นไม่พร้อม 2.ประชาชาไม่พร้อม

“วันนี้การเลือกตั้งที่ผ่านมามันพิสูจน์อะไรเยอะมาก การที่ประชาชนเลือกตั้งครั้งนี้ เขามองในสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ตอบแทนเฉพาะหน้าหรือเขามองในแง่ของการปรับโครงสร้างที่จะทำให้ชีวิตเขามีความหวังในวันข้างหน้า ผมคิดว่ามันเห็นภาพที่ชัดเจน การเลือกตั้งที่ผ่านมา ผมว่าชาวบ้านไม่ได้ไปสนใจว่าคุณจะลดแลกแจกแถมอย่างไร แต่วันนี้สิ่งที่เขาคิด คือ อนาคตของเขา ลูกหลานเขา จะเป็นอย่างไรมากกว่า ฉะนั้นมันไม่ต้องตอบหรอกว่าประชาชนมีความพร้อมหรือยัง ปัญหาวันนี้ท่านพร้อมที่จะให้อำนาจประชาชนหรือยัง ผมคิดว่ามันอยู่ตรงนี้มากกว่า”นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า วาทกรรมอีกอันหนึ่งที่ถูกพูดถึงตลอด คือ ท้องถิ่นทุจริต โดยจะเห็นว่ารายงานความเสียหายที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกิดขึ้นในปี 64 มีมูลค่าเสียหายประมาณ 4,200 บาท แต่ท้องถิ่นเสียหายประมาณ 718 ล้านบาท ราชการส่วนกลาง ภูมิภาค เสียหายประมาณ 3,500 ล้านบาท ขณะเดียวกันการสอบของสตง.ที่ผ่านมาท้องถิ่นสอบผ่านรายงานการเงินถึง 92% นับเป็ส 7,216 รายงาน จาก 7,849 รายงาน ขณะเดียวกันข้าราชการส่วนกลางภูมิภาคผ่านเพียง 58.5% โดยมีเพียง 186 รายงาน

ฉะนั้น วันนี้การที่หลายคนจะบอกว่าท้องถิ่นทุจริตมากเป็นเพราะท้องถิ่นมันเป็นสังคมที่เปิดกว้าง มันเกิดกระบวนการร้องเรียนทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น ต่าง ๆ อีกทั้งประชาชนอยู่ใกล้ชิดจึงทำให้มีเรื่องของการร้องเรียนได้ง่าย แต่การร้องเรียนเหล่านั้นมันก็ไม่ได้เป็นข้อสรุปว่าทุกเรื่องทุจริต แต่นี่คือสิ่งที่ทาง สตง.ได้สรุปออกมาเท่านั้น

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวถึงสิ่งที่ได้ทำในพื้นที่จังหวัดยะลาว่า ได้ฟื้นฟูยะลาจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยใช้ทุนท้องถิ่น ได้แก่ 1. ทุนความสะอาด 2. ทุนสิ่งแวดล้อม 3.ทุนความเป็นระเบียบเรียบร้อยจากการที่เราเป็นเมืองที่ผังเมืองดีที่สุดในประเทศไทย 4.ทุนวัฒนธรรม และ 5.ทุนการศึกษา

“เราแนะแนวเด็กเป็นรายบุคคล เรารู้ว่าเด็กคนไหนควรเรียนอะไร ไม่เลือกโรงเรียนเราดูแลทุกสังกัด ฉะนั้นเราจึงรู้หมดว่าคนของเราเป็นอย่างไร ในการที่เราจะสร้างเขาต่อเป็นอย่างไร เราสอบ IQ test EQ test ทั้งหมดเหมือนกับที่โรงเรียนคนรายในกรุงเทพเขาทำกัน เรากำลังสร้างฉากทัศน์ 10 ปีข้างหน้า ผมไม่กล้าคิดไกล 20 ปีเพราะผมมีความสามารถไม่พอ” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากการที่เราต้องการสร้างสมรรถนะของการแข่งขัน เราจึงนำทุนที่เรามีมาทำเป็นฉากทัศน์ หลังจากนั้นเราได้สอบถามประชาชนใน 9 มิติของชีวิต คือ การอยู่อาศัย, การคมนาคม, การบริโภค, งาน, เรียนรู้, สังคม, เอ็นเตอร์เทนสื่อบันเทิง, สุขภาพ และ การเงิน

“เราเก็บข้อข้อมูลเด็กทั้งหมดทั้ง 9 มิติ มาดูว่าแต่ละคนมีมุมมองอย่างไร แล้วสุดท้ายเราก็เอามาควบรวมต่อไปซึ่งวันนี้ เรารูัว่าจังหวัดเราอยู่ในจังหวัดที่ยากจน อนาคตถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เมืองจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้เราพึ่งภาครัฐมากเกินไป พื้นที่สีเขียวในเมืองเราน้อยลงเพราะเอกชนตัดมากขึ้น ฉะนั้นเราจึงกำหนดฉากทัศน์ 10 ปีขึ้นมา เพื่อที่เราจะสร้างและเรามองเมืองอนาคตที่เราจะไปจะต้องใช้อะไรบ้าง สิ่งที่เราต้องการก็คือการเพิ่มรายได้ต่อหัวต่อคน จาก 1 แสนบาทเป็น 2 แสนบาทต่อปี

“วันนี้ยะลาต้องโต 10% ต่อปีในเขตเทศบาลเมือง และต้องเพิ่มประชากรที่มีคุณภาพจาก 60,000 เป็น 100,000 คน เราจะรวมกับอีก 3 จังหวัดโดยใช้ยะลาเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนและกำหนดเส้นทางเดินของแต่ละปี” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้หากตนจะทำสิ่งเหล่านี้ สอ่งที่ผมจะต้องเจอแน่ ๆ คือ อำนาจหน้าที่ ตนจะติดอุปสรรคไปทั้งหมด เพราะวันนี้อำนาจหน้าที่ พ.ร.บ. เทศบาลใช้มา 40-50 ปีที่แล้ว ยังไม่เคยมีการแก้หรือมอบอำนาจหน้าที่ ซึ่งมันควรที่จะปลดล็อก เพราะมันมีวิจารณญาณของผู้บริหารของท้องถิ่นแต่ละคน เขาจะคิดได้ว่าเขาควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ถ้ามีทั้งอำนาจหน้าที่และความอิสระในการบริหาร ตนคิดว่าบางครั้งความเข้มแข็งของทุกท้องถิ่น มันเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ตัวเล็กที่ต่อตัว และมันจะทำให้ประเทศซึ่งเป็นศูนย์กลางมั่งคั่งด้วยตัวของมันเอง ไม่ต่างกับการที่เราเปิดสำนักงานย่อยต่าง ๆ สาขาย่อยต่าง ๆ ซึ่งทุกสาขาทำกำไรได้ สุดท้ายบริษัทแม่ก็มีกำไร วันนี้บริษัทแม่ก็จะเจ๊ง และบริษัทลูกก็จะเจ๊งไปด้วย

“วันนี้มันถึงเวลาแล้วที่ควรจะต้องมีการกระจายอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าถ้าเมื่อไหร่มีการกระจายอำนาจเกิดขึ้น เราอาจจะได้ผู้นำในการที่จะสร้างบ้าน สร้างเมืองต่อไปในอนาคตด้วยผลงานที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image