เดินหน้าชน : ‘คำพูด’เป็นใหญ่

เดินหน้าชน : ‘คำพูด’เป็นใหญ่

หลังจากการเมืองของไทยฝุ่นตลบอยู่ 3 เดือนครึ่ง ตั้งแต่กาบัตรเลือกตั้ง 14 พ.ค.66 กระทั่งคนที่สมหวังกลายเป็น “เศรษฐา ทวีสิน” ถูกบันทึกว่าคือนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย แล้วก็ประเดิมงานแรกหอบความตั้งใจพร้อมทีมงานชุดภาคการท่องเที่ยวลงพื้นที่ฝั่งอันดามัน พบปะประชาชน ผู้ประกอบการท้องถิ่นใน จ.ภูเก็ตและพังงา ช่วง 25-26 ส.ค.ที่ผ่านมา

เป็นภารกิจของนายกฯอย่างไม่เป็นทางการ เพราะยังไม่มีคณะรัฐมนตรี ขณะนี้ยังสาละวนกับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีที่ไม่ลงตัว ความที่เป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว การต่อรองระหว่างพรรคค่อนข้างสูง ไม่ราบรื่นเหมือนตอนเปิดดีลจับมือ โคตรจะง่ายแสนง่าย

ขณะที่พรรคก้าวไกล กุมเสียงโหวตมากกว่าใคร การต่อรองรวมเสียงนายกฯ ของพรรคไปต่อไม่ได้ ก่อนถูกหงายไพ่กลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำให้เกือบไปแล้วว่าครั้งหนึ่งประเทศไทยควรจะได้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 วันนี้ถูกเล่นงานราวกับผู้ต้องหาทางการเมือง

Advertisement

พรรคก้าวไกลก็ยอมรับในเกมสลับขั้ว แม้ ส.ส.ของพรรคจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม แต่อย่าลืมภารกิจอันใหญ่หลวงรออยู่ข้างหน้า ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนทำหน้าที่ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐบาลเศรษฐา ผลงานการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ส.ส.ก้าวไกลลากไส้รัฐมนตรีหลายกระทรวงออกมาเป็นขดๆ เมื่อทำหน้าที่ฝ่ายค้านอีกครั้ง น่ายังคงเต็มไปด้วยความร้อนแรง หนนี้มีทั้งความเก๋าเกม ไม่ต้องเกรงใจอดีตมิตรต่างพรรคด้วยเหตุผลใดๆ อีก

ส่วนพรรครัฐบาลก็ตั้งการ์ดทำงานรัดกุม โดยเฉพาะจะเป็นครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทยต้องถูกตรวจสอบบ้าง

เมื่อย้อนไปในช่วงก่อนโหวตแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่ามติที่ประชุมของพรรคจะไม่โหวตให้กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลผสมข้ามขั้ว เพราะไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลในลักษณะที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ด้วยเหตุผล 3 ข้อ คือ เป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ นำพรรครัฐบาลขั้วเดิมเกือบทั้งหมดมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย เท่ากับขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกอย่างชัดเจนในวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 ว่า ต้องการพลิกขั้วรัฐบาล

Advertisement

ข้อต่อมา การจะโหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐบาลผสมข้ามขั้วนี้ไม่ใช่การปิดสวิตช์ ส.ว.แต่เป็นการเดินตาม ส.ว. เพื่อปิดสวิตช์ก้าวไกล และข้อสุดท้าย เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหน้าตาคณะรัฐมนตรีจะไม่แตกต่างจากรัฐบาลเดิมมากนัก การจัดตั้งรัฐบาลเกรงใจผู้มีอำนาจแต่ไม่เกรงใจประชาชน

ก่อนทิ้งท้ายฝังใจว่าพรรคก้าวไกลที่ไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีผสมข้ามขั้ว ไม่ได้พิจารณาบนพื้นฐานของคุณสมบัติของตัวแคนดิเดตก็คือเศรษฐา แต่เป็นการตัดสินใจบนจุดยืนทางการเมือง

“คำสัญญาที่พรรคก้าวไกลได้ให้ไว้กับประชาชนคือ มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่สามารถตระบัดสัตย์ต่อประชาชนได้” เป็นคำพูดท่อนฮุคของชัยธวัช ให้เห็นทั้ง “จุดยืน” และ “คำมั่น” ที่มีต่อประชาชน

เป็นการย้ำอีกครั้งว่า หน้าที่ในสภาหลังจากนี้จะเข้มข้นขึ้นกว่าเก่าแน่ ประกอบกับก้าวไกลได้ ส.ส.หน้าใหม่มานั่งในสภาร่วม 2 เท่าตัว

สำหรับ เศรษฐา ทวีสิน ผู้นำรัฐนาวาคนใหม่ ย่อมตระหนักดีว่าจะบริหารรัฐบาลให้เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง ก็ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจใหม่ทั้งหมดทั้งส่วนของรัฐมนตรี โดยเฉพาะเรื่องของ “คำพูด” ที่พูดแล้วต้องรับผิดชอบกับนโยบายที่ประกาศไว้อย่างมากมาย ทั้งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ลั่นออกมาแล้วเป็นไปอย่างราบรื่นทำได้จริง สีหน้าและน้ำเสียงของประชาชนจะเป็นคำตอบที่ดี

ในทางกลับกัน นโยบายที่ทำแล้วไปไม่สุดเหมือนที่ประกาศหาเสียงครั้งใหญ่เมื่อ 17 มี.ค.66 จนลั่นอาคารยิมเนเซียม 4 ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และถ่ายทอดสดในโลกโซเชียลไปทั่วประเทศ ก็ต้องมีคำตอบที่ชัดเจน อย่าก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์จะเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ ที่นักการเมืองมีการอ้างถึงว่ามันเป็นเพียง “วาทกรรม” หรือเป็น “เทคนิค” การหาเสียง

พูดคำไหนก็ต้องคำนั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image