สัมภาษณ์พิเศษ โอฬาร ถิ่นบางเตียว กรณี ‘สภาล่ม’

สัมภาษณ์พิเศษ โอฬาร ถิ่นบางเตียว กรณี‘สภาล่ม’ หมายเหตุ - ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว

หมายเหตุ – ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้สัมภาษณ์พิเศษมติชนถึงกรณีการประชุมสภาไม่ครบองค์ประชุมจนเป็นเหตุให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลให้ข่าวตอบโต้กัน

สภาล่มในมุมมองของผม โดยหลักเป็นความรับผิดชอบของ ส.ส.ทุกคน ต้องทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ประชาชนเลือก ส.ส.เข้าไปในสภา เพื่อให้ไปทำหน้าที่ แต่ความรับผิดชอบคุมเกมการประชุมสภาจะต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล เพราะมีเสียงข้างมาก รัฐบาลจะต้องพยายามคุมเกมในสภาให้ได้ด้วย เพราะถ้าคุมเกมสภาไม่ได้ กฎหมายสำคัญๆ ก็อาจจะไม่ผ่านได้ เนื่องจากฝ่ายค้านต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้กฎหมายของซีกรัฐบาลผ่านไปไม่ได้ รวมทั้งประเด็นต่างๆ ที่รัฐบาลเสนอในสภา ทำให้มองเห็นปัญหาที่จะตามมาก็คือ ศักยภาพความสามารถของ ส.ส.ฝั่งของรัฐบาลในการคุมเกมสภา ประกอบกับตัวนายกรัฐมนตรีเอง ไม่ได้มาจาก ส.ส.โดยตรง ทำให้ไม่มีฐานคะแนน และฐานเครือข่ายที่จะกำกับดูแลเสียงรัฐบาล และบวกกับรัฐบาลที่มาจากเสียงรัฐบาลผสม ที่สำคัญแต่ละพรรคก็มีอำนาจเหนือ พรรคแกนนำก็คือพรรคเพื่อไทย

⦁กรณีนี้ถือเป็นการเล่มเกมกันหรือไม่
ผมมองว่าต่อไปเกมการเมืองของสภาหนักแน่ เพราะว่าพรรคก้าวไกลจะต้องเล่นเกมในสภาแน่นอน เพื่อทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีปัญหาในการผ่านกฎหมายสำคัญๆ นั่นคือเรื่องที่พรรคก้าวไกลต้องทำแน่นอน แต่เรื่องนี้ก็จะกระทบกับพรรคก้าวไกลด้วยเช่นกัน คือ จะทำให้กฎหมายดีๆ หลายๆ อย่างที่พรรคก้าวไกลเคยหาเสียงเอาไว้ จะไม่ผ่านสภาด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการเอาคืนกันเพราะไปทำเขาก่อน

ถ้าพรรคเพื่อไทยต้องการเสนอกฎหมายสำคัญ เกี่ยวกับนโยบายที่หาเสียงไว้ ในฐานะพรรคแกนนำจะต้องตั้งวิปรัฐบาลที่มีบารมี และเป็นที่เกรงอกเกรงใจของพรรคร่วม ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีเสียงมากก็จริง แต่ไม่มีอำนาจไปครอบงำพรรคอื่นๆ ได้ จึงจำเป็นจะต้องตั้งประธานวิปรัฐบาลที่มีบารมีเป็นที่เกรงใจของพรรคอื่นๆ รวมทั้งการผ่านกฎหมายสำคัญๆ ของพรรคเพื่อไทย หรืออาจจะต้องแจกกล้วย เพื่อล่อใจให้ยกมือโหวตให้ โดยเฉพาะซีกรัฐบาลด้วยกันเอง

ช่วงนี้ไม่มีวิปในสภาก็สามารถอ้างได้ว่า สภาล่มเพราะยังไม่มีวิปรับผิดชอบ ในการควบคุมเสียงในสภา ซึ่งจะเป็นตัวหลักในการประสานงานการประชุม หากมีการเสนอกฎหมายเกี่ยวกับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทหากไม่ผ่านก็จะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลอย่างแน่นอน แต่เชื่อว่าการแจกเงินดิจิทัล เมื่อเกิดผลกระทบต่อภาพรวมของพรรคร่วมรัฐบาล มั่นใจว่า ส.ส.จะต้องผ่านให้ไป และเป็นการกอบกู้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลด้วย แต่หากเป็นกฎหมายสำคัญๆ ของรัฐบาล อาทิ กฎหมายงบประมาณ หากไม่ผ่านก็ยุบสภาเลย

ADVERTISMENT

หากการประชุมสภามีการตีรวนกันตลอด จะต้องแก้ด้วยการจัดสรรผลประโยชน์ตลอดเลย โดยเฉพาะการประชุมสภาที่มีการผ่านกฎหมายสำคัญ รัฐบาลจะต้องแจกกล้วย เช็กชื่อกันเลย ลำพังประธานวิปสามารถคุยได้ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อลงมติ จะต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัญหาของรัฐบาลผสม ที่สำคัญพรรคร่วมมีอำนาจเหนือพรรคแกนนำหลัก

การโดดประชุมสภา 400 คน ผมมองว่าเป็นเกม และยังเป็นการมองได้ว่านักการเมืองไม่ได้มีการพัฒนาตนเอง ทำงานการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น ทั้งที่ก่อนการเลือกตั้งได้หาเสียงเอาไว้ สร้างสัญญาประชาคมว่าจะทำหน้าที่ในสภา จะออกกฎหมายเพื่อประชาชน แต่พอเอาเข้าจริงแล้วนักการเมืองก็ยังเป็นนักการเมืองแบบเดิม คือก้าวไม่พ้นผลประโยชน์ตัวเอง แล้วใช้เวทีสภาเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของตัวเองกันมากกว่า จึงทำให้สภาล่ม คนที่เสียหายที่สุดคือประชาชน

⦁มองว่า ส.ส.บางคนแจกผลประโยชน์ให้กับประชาชนไปแล้ว จึงไม่แคร์ในการทำหน้าที่ในสภา
เรื่องนี้บางคนอาจจะคิดอย่างนั้น แต่โดยหลักการแล้วไม่ได้ เพราะประชาชนเลือก ส.ส.เหล่านั้นเพื่อไปประชุมสภา ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านจะต้องเข้าประชุม ต้องทำงานในสภา ทำแบบนี้เหมือนกับเป็นการดูถูกประชาชนมาก ตอนที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ก็ร้องอ้อนวอน ขอซื้อเสียงต่างๆ พอได้เป็นแล้วไม่ทำงาน

ในการแก้ไขปัญหา ผมพูดมาตลอด และการเมืองเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะการแสดงบทบาทของฝ่ายค้าน พยายามเอารายชื่อ ส.ส.ที่โดดประชุมมาบอกกล่าวกับประชาชน ถ้าจะให้ดีควรใช้ช่องทางการสื่อสารต่างๆ ไปบอกกล่าวกับประชาชนในพื้นที่ว่า ส.ส.ของตนเองโดดร่มไม่ร่วมประชุมสภา เพื่อให้เห็นพฤติกรรมการทำงานของ ส.ส.ในเขตของเขา ว่าเงินเดือน 2-3 แสนบาทที่ได้ไป แต่ทำงานกันแบบนี้ สมัยหน้าจะเลือกคนแบบนี้อีกหรือไม่

⦁การที่สภาล่มบ่อย จะส่งผลให้มีการยุบสภาหรือไม่
ผมมองว่ารัฐบาลชุดนี้มีความได้เปรียบ เพราะเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่ชนชั้นนำทั้งหมด เห็นพร้องต้องกันในการสนับสนุนรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ กลไกของรัฐ เครือข่ายคนชั้นนำ ดูโครงสร้างแล้วสามารถอยู่ได้นานถึง 4 ปี

แต่รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ไม่ครบมี 2 เงื่อนไข คือ 1.ไม่สามารถจัดสรรผลประโยชน์ให้ลงตัวได้ใน ครม.และในรัฐสภา เมื่อมีการโปรดเกล้าฯรายชื่อคณะรัฐมนตรีออกมา หลายคนเริ่มไม่พอใจแล้ว การประชุม ส.ส.ที่ผ่านมา มองให้เห็นว่ามีการเรียกร้องเกี่ยวกับผลประโยชน์แล้ว ปัญหาจะเกิดตามมา ถ้าบริหารผลประโยชน์ไม่ได้ จะนำไปสู่ปัญหาศักยภาพทางการเมืองทันที ทั้งที่ตัวรัฐบาลมีความได้เปรียบจากกลไกที่สนับสนุน 2.อาจเกิดจากอุบัติเหตุทางการเมือง อาจจะมีการคอร์รัปชั่น หรืออาจจะมีปัญหาอะไรที่ตัดสินใจไปแล้วคนไม่พอใจ เหมือนกรณีนิรโทษกรรม ถ้าเกิดอุบัติเหตุแบบนั้น คนจะลงถนนทันที อาจส่งผลต่อการยุบสภา ทั้งที่เงื่อนไขโครงสร้างของรัฐบาลเอื้อต่อการอยู่ของรัฐบาลได้นานถึง 4 ปีก็ตาม

ส่วนนายทุนสนับสนุนพรรคการเมือง หากดูโครงสร้างหลักๆ แล้ว แม้ว่าตัวคนไม่ได้ แต่คนที่ได้ไปก็อยู่ภายใต้อาณัติของกลุ่มคนเหล่านั้นทั้งสิ้น

เชื่อว่ากลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้รับตำแหน่งและลงตัวหมดแล้ว แต่ที่มีปัญหาเพราะนักการเมืองทะเลาะกันเองและอยากจะเป็น จึงทำให้คนไม่ได้เป็นรัฐมนตรีตีรวน อาจจะชักชวนกันไม่เข้าประชุมสภา เพราะต้องแสดงฤทธิ์เดชกันบ้าง ถ้าปรับ ครม.ขอตำแหน่งให้ผมบ้าง หากไม่ได้รับการตอบสนองก็จะแสดงฤทธิ์เดชไปเรื่อยๆ จุดสำคัญมีคนผิดหวังเยอะ ก็ต้องวุ่นวายเป็นเรื่องธรรมดา

หากสภายังล่มบ่อยๆ และไปเจอกฎหมายสำคัญ ไม่ผ่านการลงมติ ก็ต้องยุบสภา ประชาชนออกไปชุมนุมประท้วงกันเยอะๆ เลือกไปแล้วไม่ทำงาน เมื่อมีการยุบสภา นายกรัฐมนตรีลาออก ทุกอย่างจบหมดเลย

ถึงแม้ว่าปัจจัยโครงสร้างเอื้อให้รัฐบาลอยู่ยาว แต่ ครม.และสภาเกิดความแตกแยกอย่างนี้ เวลาฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจจะพลาดง่ายๆ หากฝ่ายค้านมีคะแนนมากกว่า จะทำให้รัฐมนตรีหลุดง่ายๆ เหมือนกัน

เพราะรัฐบาลผสมคุมเสียงยาก