ผู้เขียน | เดินหน้าชน |
---|
ไม่ว่า กติกาเลือกตั้งจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรง ต้นเหตุอำนวยพรให้วุฒิสมาชิกมีอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์เลือกนายกรัฐมนตรี
ไม่ว่า จะผ่านกลเกม ดีลลับ ดีลรัก ดีลลวง กลายเป็นดราม่ามากมายภายหลังการเลือกตั้ง
สุดท้าย วิถีการเมืองก็ทำคลอดนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ชื่อเศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐมนตรีอีก 33 คน หลังการฟอร์มรัฐบาล รับรู้กันว่าชุลมุนวุ่นวายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หนึ่งในคณะเจรจารวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลถึงกับออกปาก การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้เป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ยากลำบากมาก อยู่ในกระบวนการการทำงานการเมืองมา 20 กว่าปี
ครั้งนี้เป็นสิ่งที่ลำบากมากที่สุด
แต่นั่นคงไม่เท่ากับสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องเผชิญระยะต่อไป นำนโยบายสัญญาประชาคมไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม
จัดการอย่างไรกับเงินมหาศาลในการดูแลปากท้องประชาชน พลิกฟื้นเศรษฐกิจ
รับปาก ทำไม่ได้ จะอาศัยข้ออ้าง “เป็นเทคนิคการหาเสียง” กันบ่อยๆ เห็นทีจะไม่ไหว
ตรวจสอบเอกสารนโยบายของพรรคการเมืองที่ต้องใช้เงิน ยื่นต่อคณะกรรมการการเมือง คัดเฉพาะ 3 อันดับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่มี ส.ส.มาก
พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำ นำเสนอนโยบาย 70 นโยบาย โดยระบุว่าจะต้องใช้เงินเพิ่มเติมอีก 1.8 ล้านล้านบาท โครงการได้รับความสนใจมากที่สุดคือ แจกเงินดิจิทัลให้ประชาชนคนละ 1 หมื่นบาท จะใช้งบประมาณสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท
พรรคภูมิใจไทยระบุว่าจะต้องใช้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท อาทิ เงินกู้ฉุกเฉิน 5 หมื่นบาทแก่ประชาชน ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ไม่ต้องค้ำประกัน ต้องใช้เงินปีละ 7 แสนล้านบาท นโยบายพักหนี้ 3 ปี หยุดต้นปลอดดอกเบี้ยคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท อาจต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี
พรรคพลังประชารัฐ จะใช้เงิน 1 ล้านล้านบาท มีนโยบาย อาทิ สวัสดิการสูงอายุ ใช้เงินประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี
ทั้งหมดมีต้นทุนต้องจ่าย
ตั้งข้อสังเกตว่า พรรคการเมืองส่วนใหญ่ที่ประกาศนโยบายออกมา ไม่ได้ระบุว่าจะหาเงินมาจากแหล่งใดมาดำเนินนโยบาย เก็บภาษีใดเพิ่มขึ้น จะตัดลดงบประมาณที่มีอยู่ในปัจจุบันในด้านใด
แหล่งเงินเพื่อทำตามสัญญา ถือเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาล “เศรษฐา 1” ต้องทำให้เกิดความชัดเจนและมีความเป็นไปได้ ท่ามกลางข้อจำกัดการจัดเก็บรายได้ของรัฐ ยังไม่สามารถขยายฐานได้ทันกับความต้องการใช้เงิน
จะก่อหนี้เพิ่ม ก็พบว่างบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลหลายปีผ่านมา กู้กันตลอดอยู่แล้ว กรอบวินัยการคลังค้ำคอจะเต็มเพดานอยู่รอมร่อ
คงไม่มีใครกังขาความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ของนายกฯเศรษฐา ฐานะซีอีโอผู้ประสบความอย่างสูงในวงการอสังหาริมทรัพย์
แต่ในฐานะซีอีโอประเทศมีความแตกต่าง อาจไม่สามารถสั่งการได้คล่องตัวเหมือนทำธุรกิจ
ต้องไม่ลืมว่า รัฐบาล “เศรษฐา 1” ประกอบร่างด้วยรัฐมนตรีจาก 6 พรรคการเมือง บวกกับพรรคเล็กพรรคน้อย 4 พรรคเมืองให้การสนับสนุน
การเจรจา ต่อรอง กดดัน นำนโยบายของตัวเองไปปรากฏให้เป็นจริง เป็นปกติธรรมชาติของรัฐบาลหลายพรรค
น่าติดตามกับอีเวนต์รัฐบาลกับการแถลงนโยบายบริหารประเทศ คาดว่าจะเกิดขึ้น 11 สิงหาคมนี้ จะจัดสรรปันส่วนอย่างไร
สัญญา รัตนสร้อย