รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กับการฟื้นฟูหลักนิติธรรม

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กับการฟื้นฟูหลักนิติธรรม

รัฐบาลนี้จะ “สร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ภายใต้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน”

ถ้อยคำนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน แถลงต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตน

จึงอาจกล่าวได้ว่าถ้อยแถลงนี้เป็น “สัญญาประชาคม” ที่รัฐบาลของท่านนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ได้ประกาศต่อประชาชนทั้งประเทศ

ADVERTISMENT

แม้จะเป็นคำแถลงสั้นๆ แต่มีนัยสำคัญมาก เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีรัฐบาลใดกล่าวถึงความจำเป็นในการฟื้นฟู “หลักนิติธรรม” อันเป็นปัญหาสำคัญที่นำประเทศไทยไปสู่ความความขัดแย้งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาอย่างชัดเจนมาก่อน

โดยในคำแถลงได้ระบุอย่างชัดเจนว่า “การฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส” จะช่วยสร้าง “ความชอบธรรม” ในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิบไตย รวมทั้งยังได้เสนอแนวทางว่าต้องดำเนินการ “ภายใต้หลักการที่มีส่วนร่วมของประชาชน” อีกด้วย

ADVERTISMENT

ในความเห็นของผม คำแถลงของท่านนายกฯเศรษฐาถือเป็นการตั้ง “โจทย์” ที่ถูก และเสนอ “แนวทางแก้ไข” ที่ตรงประเด็นกับปัญหาหลักของประเทศไทยเป็นครั้งแรก

⦁หลักนิติธรรมที่เข้มแข็งส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ
แม้ในระยะหลังสังคมไทยมีการพูดถึง “หลักนิติธรรม” หรือ “Rule of Law” มากขึ้น แต่เป็นการกล่าวถึงในลักษณะที่เป็นนามธรรม และหลายครั้งกลายเป็นวาทกรรมในการสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ขัดต่อ “หลักนิติธรรม” เสียเอง โดยสังคมไทยไม่ได้มีโอกาสในการทำความเข้าใจถึงความหมายของ “หลักนิติธรรม” ที่แท้จริงแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน “หลักนิติธรรม” ได้ถูกยกระดับความสำคัญในระดับโลก เพราะจากการศึกษาพบว่าปัญหาสำคัญที่ทำให้หลายประเทศติดกับดักไม่สามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าได้ ล้วนสืบเนื่องมาจากความอ่อนแอของ “หลักนิติธรรม” อาทิ ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาระบบกฎหมายล้าสมัยที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันของประเทศ ปัญหากระบวนการยุติธรรมที่ไม่น่าเชื่อถือ เป็นต้น

ที่สำคัญที่สุดคือปัญหาที่เกิดจากการที่ผู้กุมอำนาจรัฐฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของ “หลักนิติธรรม” เข้าไปกำกับกลไกทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมือง

ยิ่งในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง กลไกทางกฎหมายเหล่านี้อาจถูกใช้ในการทำร้ายและทำลาย “ศัตรูทางการเมือง” ทำให้ความขัดแย้งบานปลายขยายตัวไม่รู้จบ จนอาจทำให้ประเทศนั้นกลายเป็น “รัฐล้มเหลว” (Failed State) ในที่สุด

ด้วยเหตุนี้สหประชาชาติจึงได้ประมวลบทเรียนเหล่านี้แล้วบรรจุ “หลักนิติธรรม” ให้เป็นเป้าหมายหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SDGs) เป้าหมายที่ 16-Peace, Justice, and Strong Institution ซึ่งนอกจากจะเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญในตัวเองแล้ว ยังเป็นเป้าหมายที่สหประชาชาติระบุว่าเป็น “ปัจจัยเอื้อ” (Enabling Factors) ที่ส่งเสริมความสำเร็จของเป้าหมายอื่นๆ ด้วย

“หลักนิติธรรม” (Rule of Law) ในความหมายของสหประชาชาติจึงยึดโยงโดยตรงกับ “หลักธรรมาภิบาล” (Governance) และ “ประชาธิปไตย” โดยอาจกล่าวได้ว่าหลักการสำคัญทั้งสามมีส่วนเกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน (The rule of law, governance and democracy are mutually reinforcing)

กล่าวคือ “หลักนิติธรรม” ที่อ่อนแอย่อมนำไปสู่ “ระบบธรรมาภิบาล” ของประเทศที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งย่อมส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของ “ระบอบประชาธิปไตย”

ในทางตรงข้าม “หลักนิติธรรม” ที่เข้มแข็งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของ “ระบบธรรมาภิบาล” ที่ดี ซึ่งย่อมเป็นหลักค้ำยันที่ดีและ “สร้างความชอบธรรม” ให้กับ “ระบอบประชาธิปไตย” ด้วย

⦁หยุดวงจรอุบาทว์ด้วยหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง
ในฐานะที่ผมเคยมีส่วนร่วมในคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ทำให้มีโอกาสศึกษาถึงพัฒนาการความขัดแย้งของประเทศไทย ซึ่งนำมาสู่ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 เปรียบเทียบกับประสบการณ์ในหลายประเทศ ทำให้เห็นชัดเจนว่า ความอ่อนแอของ “หลักนิติธรรม” เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปัญหาที่เริ่มต้นจากความแตกต่างทางความคิด ลุกลามบานปลายไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งนำมาซึ่งเสื่อมถอยของประเทศในทุกด้าน

ที่สำคัญหากแก้ปัญหาไม่ตรงจุดจะกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ประเทศจมปลักอยู่ในความขัดแย้งแบบไม่เห็นทางออก เพราะอาจเป็นวัฏจักรที่คู่ต่อสู้ทางการเมืองที่ผลัดกันเข้ามาครองอำนาจต่างใช้ระบบกฎหมายและกระบวนยุติธรรมเพื่อประโยชน์ของฝ่ายตน

อันที่จริงแล้ว ความแตกต่างทางความคิดทั้งในระดับปัจเจก ในระดับองค์กร หรือในทางการเมืองระดับประเทศ เป็นเรื่องที่เป็นปกติวิสัย และเป็นความสวยงามที่นำสังคมไปสู่ความเข้มแข็งและการพัฒนาที่ยั่งยืน

เมื่อใดเกิดความขัดแย้ง สังคมที่มี “หลักนิติธรรม” ที่เข้มแข็ง กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการความขัดแย้งนั้นให้ “ยุติ-ธรรม” คือ “ยุติด้วยความเป็นธรรม”

แม้ผลของข้อยุตินั้นจะไม่เป็นที่ถูกใจของฝ่ายที่เสียเปรียบ แต่หากเชื่อได้ว่ากฎหมายและกระบวนการต่างๆ ที่นำไปสู่ข้อยุตินั้นมีความเป็นธรรม ข้อขัดแย้งนั้นย่อมเป็นที่ยอมรับได้

ในทางตรงข้ามสังคมที่ “หลักนิติธรรม” อ่อนแอ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมอาจกลายเป็นเครื่องมือและกลไกของรัฐหรือผู้มีอำนาจในการสร้างความชอบธรรมหรือความได้เปรียบทางการเมือง

ประเด็นความขัดแย้งซึ่งอาจจะเริ่มต้นด้วยเรื่องหนึ่ง อาจกลายเป็น “ความไม่ยุติธรรม” ซึ่งทำให้ความขัดแย้งบานปลาย กลายพันธุ์ ขยายขอบเขตไปจากเดิมได้อย่างมหาศาล

ปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยที่ดำรงอยู่ยาวนานกว่าสองทศวรรษ จึงน่าจะเป็นบทเรียนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งเคยเป็น “ผู้ใช้อำนาจรัฐ” และ “ผู้ถูกกระทำ” ด้วยกันทั้งสิ้น เห็นถึงความจำเป็นในการที่ต้องมีการฟื้นฟู “หลักนิติธรรม” อย่างจริงจัง และเห็นถึง “วงจรอุบาทว์” ที่จะเป็นวัฏจักรที่จะทำให้ประเทศไทยติดหล่มจมปลักอยู่ในความขัดแย้งอย่างไม่มีทางออก

⦁Rule of Law ไม่ใช่ Rule of Lawyers
หัวใจของ “หลักนิติธรรม” หรือ “Rule of Law” คือความพยายามในการใช้ระบบกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้อำนาจรัฐให้เป็นไปด้วยความเป็นธรรมและเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่

“Rule of Law” หรือแปลตรงๆ ว่า “กฎของกฎหมาย” จึงเป็นกฎเกณฑ์ในการกำกับกฎหมายและการใช้กฎหมาย รวมทั้งกำกับนักกฎหมาย ให้อยู่ในกรอบกติกา มิใช่เป็นกฎเกณฑ์ที่นักกฎหมายจะนำเทคนิคกฎหมายมากล่าวอ้างเพื่อเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามและสร้างความสับสนให้กับประชาชน

“หลักนิติธรรม” จึงไม่ใช่เรื่องของนักกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนพึงตระหนักและให้ความสำคัญ เพื่อนำไปใช้ในการกำกับนักกฎหมายให้อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง

ในการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองโลก การที่ผู้ครองอำนาจในการเมืองพยายามเข้ามามีบทบาทในกลไกของระบบกฎหมายและกระบวนการชี้ขาดทางกฎหมายจนนำไปสู่ความขัดแย้งและความเสื่อมถอยของประเทศ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย จากอดีตจนถึงปัจุบัน

การใช้กลไกกฎหมายในฐานะ “กฎแห่งอำนาจ” เพื่อรักษาฐานอำนาจของตนไว้จึงถูกเรียกในภาษาอังกฤษว่า “Rule by Law” ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกับ “Rule of Law” ที่กฎหมายต้องอยู่ภายใต้ “กฎของกฎหมาย” ที่ตีกรอบให้ใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม

ในยุคหลังจากที่สหประชาชาติได้ยกระดับ “หลักนิติธรรม” ให้เป็นเป้าหมายสำคัญของ SDG ทำให้เกิดกระแสที่ทำให้ “หลักนิติธรรม” ไม่ได้เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรมที่เป็นที่ถกเถียงเฉพาะในหมู่นักกฎหมายอีกต่อไป แต่เป็นประเด็นสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปพึงเข้าใจและให้ความสำคัญ (Mainstreaming of the Rule of Law Movement)

นอกจากนี้ การที่หลักนิติธรรมเป็นเป้าหมายหนึ่งใน SDG ทำให้เกิดความพยายามที่จะ “วัดผล” สถานะและความก้าวหน้าของหลักนิติธรรมในประเทศต่างๆ (Measurement of the Rule of Law) ซึ่งส่งผลให้หน่วยงานอิสระระหว่างประเทศที่ชื่อ The World Justice Project (WJP) ซึ่งมีบทบาทในการจัดทำตัวชี้วัดเพื่อวัดผลอันดับหลักนิติธรรมในแต่ละประเทศทั่วโลกตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 เป็นต้นมาได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น

โดย WJP ได้แบ่งตัวชี้วัดเป็น 8 กลุ่ม ซึ่งเป็นการวัดจากผลลัพธ์เชิงประจักษ์ (Evidentiary and Outcome-based) ในแต่ละด้าน ได้แก่ 1.การกำกับควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ (Constraints on Government Power) 2.การปราศจากคอร์รัปชั่น (Absence of Corruption) 3.รัฐบาลโปร่งใส (Open Government) 4.การคุ้มครองสิทธิพื้นฐาน (Fundamental Rights) 5.การรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในสังคม (Order and Security) 6.ประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎระเบียบของฝ่ายบริหาร (Regulatory Enforcement) 7.กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง (Civil Justice) 8.กระบวนการยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice)

ด้วยเหตุนี้ จากนี้ไปเมื่อกล่าวถึง “หลักนิติธรรม” นักกฎหมายสายอำนาจนิยม ซึ่งชอบนำประเด็นเทคนิคกฎหมายมาสร้างความสับสนให้ประชาชน ต้องพึงสังวรณ์ว่าวิธีการแบบเดิมน่าจะตกยุคไปแล้ว และอาจเป็นการประกาศความไม่เท่าทันโลกปัจจุบันของตนเอง

⦁จะปฏิรูปหลักนิติธรรมให้สำเร็จต้องประชาชนมีส่วนร่วม
ด้วยความที่ “สภาพแวดล้อมที่เอื้อ” ต่อการเกิดขึ้นของ “หลักนิติธรรม” เกี่ยวโยงกับหลายประเด็น ทั้งระบบกฎหมาย ระบบกระบวนการยุติธรรม และระบบการเมือง จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะสร้างขึ้น และแน่นอนว่าไม่สามารถทำได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว

จุดเริ่มต้นที่สำคัญจึงต้องเกิดจากการตั้งโจทย์ให้ถูก เพราะในการแก้ปัญหาที่ยากและซับซ้อนไม่สามารถตั้งโจทย์ที่แคบเกินไป

การตั้งโจทย์แค่ “การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม” จึงอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องโยงถึงการสร้าง “หลักธรรมาภิบาล” ที่ดีที่นำไปสู่ “ความชอบธรรม” ของ “ระบอบประชาธิปไตย” ตามแนวทางที่เป็นสากลด้วย

แม้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีจิตวิญญาณของหลักนิติธรรม มีความจำเป็นเพราะเป็นรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดโครงสร้างของสังคมที่เป็น “นิติรัฐ”

แต่การมีรัฐธรรมนูญที่ดีอาจไม่เพียงพอหากสังคมไทยยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่นักกฎหมายยังใช้กฎหมายเป็น “กฎแห่งอำนาจ” โดยไม่คำนึงถึง “กฎของกฎหมาย’

หัวใจของความสำเร็จจึงอยู่ที่การทำให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของ “หลักนิติธรรม” และทำให้ “การปฏิรูปหลักนิติธรรม” เป็นวาระแห่งชาติที่พรรคการเมืองทุกพรรคและประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าของ

เป็นที่น่ายินดีว่ารัฐบาลของท่านนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้หยิบยก “การฟื้นฟูหลักนิติธรรม” ขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญและประกาศเป็น “สัญญาประชาคม”

แม้จะยากยิ่งแต่หากเริ่มก้าวแรกที่ถูกทิศทาง โอกาสของความสำเร็จย่อมไม่ไกลเกินฝัน

ที่สำคัญรัฐบาลต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ มิใช่เป็นอีกครั้งที่ “หลักนิติธรรม” ถูกหยิบยกมาเป็นเพียงแค่วาทกรรมทางการเมืองที่สวยหรู

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image