ณัฐวุฒิ ชี้นิรโทษฯ ต้องรวม 112 ให้ทุกฝ่ายตั้งต้นใหม่ รับอยากเห็น พท.-ก้าวไกล จับมือกัน
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. คนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ The Politics ทางมติชนทีวี ถึงจุดยืนต่อการนิรโทษกรรม ตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวเห็นด้วยว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต้องรวมคดีในมาตรตรา 112 เพื่อปลดเปลื้องพันธนาการทางคดีความ ให้กับคนทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเมือง ทำให้คนทุกฝ่ายกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น แล้วตั้งต้นกันใหม่
“คำว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสำหรับเพื่อไทยเป็นของแสลง ถ้าสังเกตตั้งแต่หาเสียงไม่มีการพูดถึงเลย เพราะพูดแล้วเหมือนเป็น killing Zone ถูกนำไปขยายผล ทั้งภาพอดีต และถูกป้ายสีทั้งภาพอนาคต ทั้งๆ ที่สารตั้งตนของคำนี้คือ การนิรโทษกรรมให้กับผู้ต้องคดีจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง
แต่ในปัจจุบันจำนวนคนที่เจออะไรแบบนี้มีมากขึ้น เงื่อนไขทางความคิดซับซ้อนขึ้นมองด้วยหลักการ เรื่องการนิรโทษกรรม ทุกคนทุกฝ่าย ทุกพรรคทางการเมือง และตนพูดชัดมาตลอดว่า ต้องรวมทุกคดีความ ทุกข้อกล่าวหา ยกเว้นเรื่องทุจริต คอร์รัปชั่นและเรื่องความผิดอันถึงแก่ชีวิต มาตรา 112 จำเป็นต้องได้รับนิรโทษกรรมในคราวเดียวกันนี้เสียด้วย” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า สำหรับท่าทีของพรรคเพื่อไทยในหลักการ ก็ควรเห็นด้วยที่จะให้มีกฎหมายนิรโทษกรรม จึงเห็นว่าพรรครัฐบาลควรเสนอร่างกฎหมายประกบ และควรที่จะตั้งเข็มมุ่งในการที่จะทำให้คนทุกฝ่ายกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น ไม่ใช่ใช้ความเมตตาของผู้มีอำนาจเป็นตัวตั้ง เอาลูกหลานออกจากคุก
ทั้งนี้ ถ้าสังเกตน้องๆ ที่เคลื่อนไหว จะเรียกว่าบทเรียน หรือชะตากรรมที่ประสบพบเจอ เขาเกิดการเรียนรู้ เกิดประสบการณ์ที่เพียงพอที่เราจะวางไม้ วางแส้ แล้วเอามือเปล่าๆ ไปกอดพวกเขาไว้หรือยัง อาจถึงเวลาตั้งหลักกันใหม่แล้วจริงๆ ก็ได้ แล้วให้ผู้รู้ คณะกรรมการอะไรก็ตามมาดูการบังคับใช้กฎหมายนี้ให้ชอบด้วยหลักนิติธรรม อย่าให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ในการหาประโยชน์ หรือทำร้ายใครๆ ได้อีก
“เพื่อไทยกับก้าวไกล ลองคุยกันดีๆ รับฟังกันมากๆ แล้วคิดถึงอนาคตบ้านเมืองมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาคุยกันอย่าปล่อยมือเด็ก อย่าปล่อยมือลูกหลานที่ประสบชะตากรรมกันอยู่ลำพัง และเวลาสถานการณ์มันอาจจะค่อยๆ คลี่คลายกันได้ แต่อย่าให้เป็นวาระของผมคนเดียวเลย ช่วยกันคิดเถอะ” นายณัฐวุฒิกล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ออกมาระบุว่า การเมืองไทยหนีไม่พ้นที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลต้องทำงานร่วมกัน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนมองมุมเดียวกับนายธนาธร ที่ในอนาคตพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยอาจยังต้องจับมือกันอีกครั้ง เพราะกลไกอำนาจประเทศนี้ ไม่ยอมให้พรรคไหนหลุดเดี่ยว เพราะอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยในระยะสั้นนี้ ยังต้องเป็นรัฐบาลผสม และเนื่องจากแต่ละพรรคมีจุดแข็งจุดอ่อนในตัวของตัวเอง ว่ากันด้วยเกมการเมือง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทั้งหลาย สู้กันให้เต็มที่ แต่อย่าล้มมวย อย่าถึงขั้นเป็นศัตรู ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกัน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างพันธมิตร สะสมแนวร่วม เพื่อเป้าหมาย เดินเข้าสู่อำนาจ
“การเมืองไม่ใช่แก้ว ถ้าบอกว่าร้าวแล้ว ไม่สามารถจับมือทำเรื่องสร้างสรรค์อีก พูดแบบนั้นประชาชนจะวังเวง วันหน้าพรรคการเมืองจะเข้าใจเองว่า จะต้องตัดสินใจอย่างไร เพื่อตอบโจทย์หลักของพรรค คือการเข้าสู่อำนาจบริหาร แล้วเอาอำนาจนั้นมาตอบโจทย์ประชาชน ตามนโยบายที่ประกาศเอาไว้ เพื่อขยับสังคมไปข้างหน้า เชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากเห็นความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายที่จะผลักดันนโยบายดีๆ เชื่อว่า ตอนนี้อยู่ในจุดที่ทำได้ ก็หวังใจว่า ถ้าใช้เหตุผล ข้อเท็จจริงมาคุยกัน อาจจะเกิดแนวทางแบบนั้นขึ้นก็ได้” นายณัฐวุฒิกล่าว