ช่อ ชี้รบ.จัดสงกรานต์ตลอดเมษา ทุ่มงบก้อนใหญ่ หวั่นได้ผลไม่ต่างจากเดิม มองนโยบาย OFOS อาจไม่ถึงฝัน

‘ช่อ’ ไร้กังวล จัดสงกรานต์ตลอดเดือนเมษา แต่หวั่น ทุ่มงบก้อนใหญ่จัดอีเวนต์ ทำผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิม มอง นโยบาย OFOS อาจไปไม่ถึงฝัน เหตุงบประมาณอุดหนุนไม่เพียงพอ

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้โพสต์ความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ฯ บนเฟซบุ๊ก ระบุว่าจะจัดงานสงกรานต์เฟสติวัลตลอดทั้งเดือนเมษายน โดยจะทยอยจัดทั้ง 77 จังหวัด ว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากการพาดหัวจัดสงกรานต์ 30 วัน ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไป แต่เมื่อไปดูในรายละเอียด สิ่งที่ตนกังวลใจ ไม่ใช่เรื่องสงกรานต์ 30 วัน แน่นอน จัดเฟสติวัลทั้งเดือน แต่สลับสถานที่ หรือจัดโซนนิ่ง ก็สามารถจัดการได้

น.ส.พรรณิการ์กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราอยากตั้งคำถามจริงๆ เกี่ยวกับงานเฟสติวัล คือ 1.อย่าลืมว่างบประมาณ 5,164 ล้านบาท ที่ถูกเปิดออกมาล่าสุด มีถึง 1,009 ล้านบาท ในส่วนของเฟสติวัล ทั้งที่มีถึง 11 กลุ่มอุตสาหกรรม การที่กลุ่มอุตสาหกรรมเฟสติวัลได้มากที่สุด ทำให้เกิดคำถามที่ว่า สุดท้ายจะลงเอยด้วยการจัดอีเวนต์แล้วก็จบหรือไม่

“ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าประเทศไทยจะว่างเว้นจากอีเวนต์ แต่จะมีอะไรที่แตกต่างออกไป ในเมื่อเราทุ่มเงินจัดอีเวนต์ระดับพันล้านบาท ไม่นับอีเวนต์ที่มีอยู่แล้วของกระทรวงต่างๆ” น.ส.พรรณิการ์กล่าว

Advertisement

2.การจัดสงกรานต์เป็นเฟสติวัลยาวหนึ่งเดือน และหมุนเวียนกันไปในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ข้อสังเกตจากกรณีที่นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเฟสติวัล ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า จะเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คำถามคือ ถ้านโยบายซอฟต์เพาเวอร์ของพรรค พท. จะเป็นไปอย่างที่พรรค พท.ได้หาเสียงไว้ ซึ่งคือการสร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในประเทศ การไปหาสถานที่ใหม่ สร้างจุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ ในเทศกาลสงกรานต์ ที่ไม่ว่าอย่างไรคนก็มาท่องเที่ยวอยู่แล้ว อาจจะดีกว่าหรือไม่ คงเป็นความเห็นที่แตกต่างในเชิงนโยบาย

“ถ้ารัฐบาลยืนยันว่าจะทำแบบนี้ ก็ย่อมสามารถทำได้ แต่ถ้าคิดจะสร้างเม็ดเงิน สร้างรายได้ สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ รวมถึงต่อยอดต่อไปในปีต่างๆ จุดหมายปลายทางใหม่ๆ อาจจะน่าสนใจมากกว่าการไปจัดในที่ที่แออัด คับคั่ง จนแทบจะมีการจองเกินจำนวนอยู่แล้วในเมืองท่องเที่ยวต่างๆ” น.ส.แพทองธารกล่าว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายกังวลว่าสุดท้ายแล้วงบประมาณก้อนนี้จะถูกกินโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอยู่ดี น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า ขณะนี้ตนกำลังติดตามว่า เมื่องบประมาณออกมาจากกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ฯ ซึ่งไม่ใช่หน่วยรับงบประมาณ แต่งบประมาณก้อนที่จะต้องถูกยัดลงไปในแผนของส่วนรับงบประมาณอื่นๆ กระทรวง ทบวง กรมใด จะเป็นผู้รับไป เบื้องตนเท่าที่เห็น คิดว่ากระจายไป 2-3 หน่วยงานที่เป็นผู้รับผิดชอบ คาดว่าน่าจะเป็นกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รับผิดชอบ หรือผู้ประสานหลัก จะหมายถึงเป็นเจ้าของงบประมาณด้วยหรือไม่ ซึ่งคงต้องรอความชัดเจนจากทางรัฐบาลอีกครั้ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า งบประมาณซอฟต์เพาเวอร์ในปี 2567 จะต้องอยู่ในสถานะงบฝาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้มากน้อยเพียงใด

Advertisement

“ตกลงแล้วจะสร้างผลที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ได้ หรือสุดท้ายแล้วคำว่า ซอฟต์เพาเวอร์ ก็แค่ถูกเติมลงไปในงบประมาณที่มีอยู่เดิม ไม่ต่างจากคำว่าบูรณาการ ดิจิทัล พอเพียง ที่เติมท้ายโครงการ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในประเทศไทย ถามว่าจะเกิดผลเป็นรูปธรรม เกิดเป็นซอฟต์เพาเวอร์ เกิดเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือสร้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ ให้กับคนไทยในระยะยาวได้จริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามเหมือนกัน ไม่นับว่างบประมาณก้อนนี้ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่พรรคเพื่อไทยบอกว่า นี่คือการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว” น.ส.พรรณิการ์กล่าว

น.ส.พรรณิการ์ยังกล่าวถึงนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์เพาเวอร์ ที่พรรค พท.ระบุว่า จะสร้างรายได้ให้ครอบครัว ครอบครัวละ 200,000 บาท จำนวน 20 ล้านครอบครัวต่อปี (OFOS) ว่า ถ้าต้องการผลที่ใหญ่ขนาดนั้น ตัวเลขการลงทุนเบื้องต้นในปี 2567 อาจยังไม่สามารถคาดหวังได้มากขนาดนั้น อย่าลืมว่า งบประมาณปี 2568 แทบจะต้องพิจารณาต่อกันเลย เนื่องจากงบประมาณปี 2567 ล่าช้า ปี 2567 อาจจะพูดได้ว่าเป็นปีแรกของรัฐบาล อาจจะยังเตรียมการไม่ทัน แต่ปี 2568 จะเริ่มพิจารณากลางปีหน้าแล้ว ต้องรอดูว่า จะซ้ำรอยในการจัดงบประมาณซอฟต์เพาเวอร์ ที่ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยกันสองปี ซึ่งคือครึ่งหนึ่งของการทำงานของรัฐบาลนี้หรือไม่

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่างบจะกลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า เท่าที่เห็นรายละเอียดของกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนี้ จะเป็นไปในลักษณะของการจัดอีเวนต์ การอบรม และการสัมมนามากกว่า ส่วนตัวหากมองนโยบายของพรรค พท. สิ่งที่สำคัญจริงๆ อยู่ที่นโยบาย OFOS การสร้างเสริมทักษะในด้านสร้างสรรค์ให้กับคนในแต่ละครอบครัว นี่คือการรีสกิล อัพสกิล ที่จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก ยกตัวอย่าง มีหนึ่งโครงการจากกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 160 ล้านบาทเท่านั้นเอง และมีอีเวนต์อยู่ในนั้นแล้วด้วย เพราะฉะนั้น ไม่แน่ใจว่า OFOS จะถูกขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมมากน้อยเพียงใด ในปีงบประมาณ 2567 นี้

เมื่อถามว่า ไม่กังวลเรื่องการทุจริต หรือการฉวยโอกาสจากกลุ่มบุคคลใดใช่หรือไม่ น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า การทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ว่าจะเป็นโครงการใด ก็สามารถทุจริตได้ทั้งนั้น แต่ที่เรากลัวซอฟต์เพาเวอร์ เนื่องจากยังไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และใช้เงินไปกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม สุดท้ายจะได้แบบคนละนิดละหน่อย แล้วทำให้ยังไม่ทันเห็นผลชัดเจนในปีแรกที่ทำงาน รวมถึงเท่าที่ในรายละเอียด งบประมาณก้อนนี้ จะถูกใช้ไปในอีเวนต์ อบรม สัมมนา ซึ่งเป็นงบประมาณตัวที่เขียน และใช้ง่ายที่สุด

“ต้องตั้งคำถามถึงตัวชี้วัดด้วยว่า จัดอีเวนต์แล้ว ต่างจากปีที่ผ่านมาอย่างไร คาดหวังว่าจะมีตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ปีหน้าจะได้เห็นอีเวนต์เยอะแน่นอน” น.ส.พรรณิการ์กล่าว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อุ๊งอิ๊ง’ โชว์งานซอฟต์เพาเวอร์ บูมจัดสงกรานต์ปี 67 ทั้งเดือนเม.ย.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image