การเสนอตัวเข้ามาในตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค” ของ “มาดามเดียร” น.ส.วทันยา บุนนาค กำลังจะกลายเป็น “บททดสอบ” อันแหลมคมในสถานะแห่ง “สถาบัน” ของ พรรคประชาธิปัตย์
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ยิ่งสร้างความแตกต่างเป็นอย่างสูง
เป็นความแตกต่างระหว่าง “หน้าใหม่” กับ “หน้าเก่า”
ขณะที่ นายนราพัฒน์ แก้วทอง มีสาแหรกอย่างชัดเจนสืบต่อมาจาก นายไพฑูรย์ แก้วทอง ผู้อาวุโสซึ่งยืนหยัดอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ยุคหลังสถานการณ์เดือนตุลาคม 2519
พื้นฐานเช่นนี้ทำให้ นายนราพัฒน์ แก้วทอง แจ้งเกิดในเนื้อดินอันแข็งแกร่งของพรรคประชาธิปัตย์และหยัดยืนจนกระทั่งเข้าดำรงตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคตัวแทนภาคเหนือ
จุดต่างเช่นนี้แผกไปจาก “มาดามเดียร์” น.ส.วทันยา บุนนาค ที่เคยเป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และเข้ามาอยู่ในร่มเงาของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถึงกำหนด 5 ปี
หาก “มาดามเดียร์” น.ส.วทันยา บุนนาค ได้รับการยอมรับให้เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค นั่นย่อมเท่ากับเป็นการสร้างจุดเด่น
ดำรงอยู่ในสถานะแห่ง “ตัวเลือก” อันทรง “ความหมาย”
เมื่อมองตามความเคยชินที่คนซึ่งจะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคจะต้องมีรากฐานและความสัมพันธ์ในลักษณะ “ตัวแทน” อย่างเด่นชัดและชัดเจน
เหมือนกับ นายนราพัฒน์ แก้วทอง เชื่อกันว่าผลักรุนมาโดยกลุ่มที่ยึดกุมอำนาจอย่างแท้จริงในพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบัน
นั่นก็คือ ได้รับการหนุนเสริมอย่างทรงพลังจาก นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตเลขาธิการพรรค และจาก นายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคจากภาคใต้ ผู้มาดหมายตำแหน่งเลขาธิการพรรค
ตรงกันข้าม “มาดามเดียร์” น.ส.วทันยา บุนนาค มิได้ถูกผลักดันมาโดยกลุ่ม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน นายเดชอิศม์ ขาวทอง และไม่แจ่มชัดว่าเป็นกลุ่มของ นายชวน หลีกภัย
การสร้างความต่างของ “มาดามเดียร์” น.ส.วทันยา บุนนาค จึงเท่ากับเสนอตัวมาอย่างเป็น “ทางเลือก” ใหม่
เป็น “ทางเลือก” ในความขัดแย้งแตกแยกที่คุกรุ่น “ภายใน”
สายตาที่มอง “มาดามเดียร์” น.ส.วทันยา บุนนาค จึงมิได้เป็นสายตาอันว่างเปล่า เบาโหวง หากแต่เปี่ยมด้วยคำถาม
เป็นคำถามว่าสมควรแก่การทดลองแก่การเลือกหรือไม่
ความละเอียดอ่อนจึงอยู่ที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน คิดอย่างไร นายชวน หลีกภัย คิดอย่างไร นายบัญญัติ บรรทัดฐาน คิดอย่างไร
นี่ย่อมเป็นคุณลักษณะที่ “ท้าทาย” และยวนเย้า เร้าใจ