พท.นัดถก 12 ธ.ค.นี้ ถามศาล รธน. ปม ปัญหาทำประชามติ ปัดตอบกระทบไทม์ไลน์เดิม เข้าคูหาไตรมาสแรก’67 หรือไม่
เมื่อเวลา 12.10 น. วันที่ 8 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงความคืบหน้าการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในส่วนของอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นแล้ว โดยสภา และ ส.ว. ได้ตอบแบบสอบถามแล้วทั้ง 2 ส่วน ขณะนี้กำลังเปิดเวทีให้พูดคุยกันเพื่อให้ทราบทิศทางทั้ง 2 สภา ว่ามีความเห็นอย่างไร เพราะเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ในขั้นตอนสุดท้าย เราต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ผ่านให้ได้ ส่วนเรื่องการศึกษาการทำประชามติ มีข้อจำกัดในเรื่องความเห็นแตกต่างในการทำประชามติ ว่าต้องทำกี่ครั้ง โดยเสนอให้กับพรรคการเมืองผ่าน ส.ส.ในสภา เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ส่วนพรรคเพื่อไทยจะพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 12 ธ.ค.
ผู้สื่อข่าวถามถึงรูปแบบที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในปัญหาการทำประชามติจะเป็นเช่นใด หรือจะเสนอเป็นญัตติเพื่อให้สภาพิจารณา นายภูมิธรรมกล่าวว่า รูปแบบอาจเป็นเช่นนั้น แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งประธานสภาก็ไม่ขัดข้องถ้าคุยกันแล้ว หากที่ประชุมหารือแล้วยังไม่ได้ข้อสรุป ประธานสภาจะยื่นถามศาล รธน.เพื่อให้วินิจฉัย
เมื่อถามว่า เรื่องที่จะถามศาลรัฐธรรมนูญ คือการทำประชามติกี่ครั้ง ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า อยู่ที่ว่าติดขัดเรื่องอะไร และมีประเด็นอะไรที่อยากถาม ส่วนพรรคเพื่อไทยจะให้ถามเรื่องอะไรนั้น ต้องรอการประชุมวันที่ 12 ธ.ค.ก่อน ซึ่งตนได้หารือกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว ท่านก็เห็นชอบว่าจะให้มีการประชุมเรื่องนี้ ในวันดังกล่าว
เมื่อถามว่าคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ จะดำเนินการแล้วเสร็จในสิ้นปีนี้ตามไทม์ไลน์เดิมหรือไม่ ก่อนเสนอผลการศึกษาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในต้นปี 2567 นายภูมิธรรมกล่าวว่า คิดว่าสิ้นปีนี้ก็น่าจะจบ สำหรับคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ จะมีข้อสรุป ว่ามีทั้งความเห็นที่ตรงกันและไม่ตรงกันเป็นอย่างไร และเรามีความเห็นอย่างไร และรอช่วงหลังปีใหม่ก็จะเสนอให้ ครม.พิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระบวนการทำประชามติจะเริ่มต้นในไตรมาสแรกของปี 2567 ยังยึดตามไทม์ไลน์เดิมใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า คิดว่าต้องอยู่กับความเป็นจริง ขอยืนยันว่าเราจะทำให้เร็วที่สุด เพราะการทำประชามติไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ด้วย ถ้าปัญหาตรงนั้นมีไม่มากมันก็เร็ว ถ้ามีมากก็อยู่ในดุลยพินิจขององค์กรเหล่านั้น เราต้องเอามาดูและปรับดูว่าเราทำได้มากน้อยแค่ไหน