สมาชิกปชป.น้ำตาซึม ‘อภิสิทธิ์’ ลาออก ‘มาดามเดียร์’ เสียงไม่ผ่าน 3 ใน 4 อดชิงเก้าอี้หัวหน้า

“ชวน” เสนอชื่อ “มาร์ค” ชิงหน.ปชป.ด้าน “อภิสิทธิ์” ร่ายยาว ก่อนปิดห้อง เปิดใจเคลียร์สารพัดกับ “เสี่ยต่อ” สุดท้ายสุดท้าย “อภิสิทธิ์” น้ำตาคลอแจ้งกลางที่ประชุมลาออกสมาชิกพรรค ลั่นกรีดเลือดเป็นสีฟ้า ไม่ไปพรรคอื่น ขณะที่”มาดามเดียร์” ไม่ผ่าน 3 ใน 4 อดชิงหน. เหลือ ‘เฉลิมชัย’ คนเดียว

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 9 ธันวาคม ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นัดประชุมใหญ่วิสามัญปชป. แต่ปรากฏว่าเวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะเปิดประชุมได้ โดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรคและรักษาการเลขาธิการพรรค เป็นประธานการประชุม แจ้งว่าองค์ประชุมครบแล้ว 260 คน และขอเปิดการประชุมในเวลา 10.08 น. ทั้งนี้ ประธานแจ้งที่ประชุมทราบว่าการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมครั้งที่3 สืบเนื่องจากการประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 9 ก.ค. และวันที่ 6 ส.ค. ไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคได้ เพราะองค์ประชุมไม่ครบ 250 เสียงตามที่กฎหมายกำหนด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก แกนนำของพรรคทุกฝ่ายมาอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อและอดีตหัวหน้าพรรค นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อและอดีตหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรคและรักษาการเลขาธิการพรรค เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เตรียมองค์ประชุมสำรอง จำนวน 150 คน เพื่อป้องกันองค์ประชุมล่ม

จากนั้นที่ประชุมเข้าสู่การเสนอชื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชวน กล่าวก่อนเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ ตอนหนึ่งว่า นี่คือเห็นช่วงปลายของชีวิต ตนได้เห็นการเติบโต เปลี่ยนแปลง ล้มลุกคุกคลานของพรรค พรรคถูกฟ้องยุบพรรค 2 ครั้ง ตนเป็นหัวหน้าทีมสู้คณะ และเราก็สู้จนชนะคดี ทั้งนี้ อยากให้เรารำลึกถึงบุญคุณนายบัณฑิต ศิริพันธุ์ และเล็ก นานา เจ้าของที่ดินของที่ตั้งพรรค วันนี้มีนายบุพ นานา ลูกของเล็ก นานา มาร่วมประชุม ตนหวังว่าพวกเราเรียนรู้ความผิดพลาด

Advertisement

ผมไม่เคยคิดให้พรรคเป็นพรรคอะไหล่ หรือพรรคประกอบ ไม่อยากให้ใครมองว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคสุดท้ายที่จะพิจารณา ดังนั้นในครั้งนี้ขอเสนอนายอภิสิทธิ์ เพราะเห็นว่าสถานการณ์การเมืองคนที่จะเลือกมาต้องไม่ด้อยกว่าพรรคอื่น และเชื่อว่าจะนำพรรคไปสู่แนวทางประชาธิปไตย และฟื้นฟูพรรคได้” นายชวน กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้รับรองชื่อนายอภิสิทธิ์ครบ 169 เสียง

ต่อมานายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถามตนวันนี้มีเหตุผลอะไรที่ต้องกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ และตนไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ต้องตอบว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องตอบรับ แต่ตนคิดเช่นเดียวกับนายชวน ว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพรรค และมีคนคาดหวัง ไม่น่าเชื่อบางคนถึงกับโทรศัพท์ว่าหาตน แล้วบอกว่าตนเห็นแก่ตัวที่ไม่เข้ามากอบกู้พรรค ตนก็ต้องอธิบายว่าพรรคมีกระบวนการ ไม่ใช่ว่าใครนึกอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมากำหนดได้ คนภายนอกส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ หลายเดือนที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้ตนประหลาดใจและสะเทือนใจ คือ เราที่อยู่ในห้องนี้ตระหนักเพียงใดว่าพรรคอยู่ในภาวะยิ่งกว่าวิกฤต ตนอาจประสบการณ์น้อยกว่านายชวน หลายคนบอกมีขึ้นมีลง ตนก็บอกว่ามีขึ้นมีลงแน่นอน แต่มีลงไม่ได้แปลว่าจะมีขึ้น ถ้าไม่เรียนรู้สรุปบทเรียนให้ชัดเจน

Advertisement

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า บทเรียนข้อสรุปต่างๆตนไม่ได้คิดว่ามันยากจนเกินไป เราไม่ได้มาถึงจุดนี้เพราะโครงสร้างพรรค เพราะข้อบังคับพรรค หรือเพราะพรรคเราจน ตนอยู่กับพรรคมา 30 ปี ขอยืนยันว่า การสนับสนุนผู้สมัครของพรรค และการสนับสนุนพรรค ไม่มียุคใดที่ทำได้มากเท่ากับยุคของนายเฉลิมชัย แต่ความพร้อมที่มากที่สุดตรงนั้น กลับมาพร้อมกับความพ่ายแพ้ทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ต้องยอมรับว่าที่เรามาถึงจุดนี้ เพราะประชาชนมองไม่เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนหรือเป็นตัวแทนของความคิดอะไร

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงข้อบังคับพรรค เกี่ยวกับน้ำหนัก 70:30 ที่ใช้โหวตเลือกกรรมการบริหารพรรคว่า ตนเห็นว่าข้อบังคับพรรคการเมืองต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน การที่บอกว่าตัวเลข 70:30 ซึ่งเขียนในสมัยตน ถ้าไม่ดีทำไมไม่แก้ตอนนั้น ขอความกรุณากลับไปดูประวัติศาสตร์ ตัวเลข สัดส่วนต่างๆเปลี่ยนแปลงมาตลอด แต่ตัวเลข 70:30 เกิดขึ้นจากที่ขณะนั้นคำนวณว่าองค์ประชุมที่เป็นส.ส.หรืออดีตส.ส.มีจำนวน 150 คน แล้วคสช.เพิ่งยุบสาขาพรรคทั้งหมด เราต้องตั้งต้นทั้งหมด ต้องไปเริ่มจากรับบตัวแทนจังหวัดก่อน ตัวเลขที่ลงตัวที่สุดในขณะนั้นคือ 70:30 ซึ่งทำให้คะแนนส.ส. และองค์ประชุมอื่นมีน้ำหนักไม่ต่างกันมาก แต่ให้สัดส่วนส.ส.มากหน่อย แต่สิ่งสำคัญที่หลายคนไม่พูดถึง คือ 70:30 เฉพาะตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปหยั่งเสียงสมาชิกทั้งประเทศ

“ครั้งที่แล้วกับครั้งที่ผ่านมามีการอ้างยกเว้น 70:30 เข้าใจได้ เพราะทั้ง 2 ครั้งในการเลือกหัวหน้าพรรค ตอนท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และความพยายามในการเลือกหัวหน้าพรรคที่ผ่านมา มีความกังวลว่ากระบวนการหยั่งเสียงมันใช้เวลาพรรคอาจต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆก็มาขอยกเว้น ผมไม่แน่ใจว่าถูกต้องตามหลักการข้อบังคับตามกฏหมายหรือไม่ แต่ปัจจุบันนี้ผมไม่เข้าใจเหตุผลว่าจำเป็นต้อวยกเว้น70:30หรือไม่ ในเมื่อเวลาล่วงเลยมาขนาดนี้แลเว เราไม่คิดระดมสมาชิกต่างๆทั่วประเทศให้มีส่วนร่วมเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของเรา ก็ไม่เป็นไร เมื่อพรรคตัดสินใจตามนี้แล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ แต่ผมได้ข้อสรุปว่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องใครแพ้หรือชนะ แต่วันนี้พรรคเดินต่อไม่ได้ ไม่มีความเป็นเอกภาพแท้จริง ผมลงแพ้ก็น่าจะมีปัญหา ผมชนะก็ยิ่งมีปัญหาเข้าไปใหญ่ เพราะกระบวนการที่เกิดขึ้นหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อในห้องนี้มามาถามผมว่าทำไมไม่คุยกัน ต่อมาก็พาดพิงว่าผมไม่ยอมคุย ผมขอยืนยันว่าถ้าใครไปพูดอย่างนั้น ไม่จริง หลายคนพยายามพูดว่าให้คุยกัน แต่ได้รับการปฏิเสธ ผมก็ไม่กล้าสอบถามเหตุผลถึงการปฏิเสธไม่พูดคุย แต่คำตอบชัดคือไม่คุย ฉะนั้นวันนี้เมื่อนายชวน เสนอชื่อผม ผมถามท่านรักษาการหัวหน้าพรรค พักการประชุมแล้วคุยกับผมหรือไม่” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ต่อมานายเฉลิมชัย กล่าวว่า คนที่นายอภิสิทธิ์กล่าวถึง คือตน ก่อนหน้านี้เคยบอกไปว่าไม่มีอะไรจะคุย เพราะเคยประกาศว่าจะหยุดการเมือง นี่คือเหตุผล และขอกราบเรียนนี้คนเราอยู่ดีๆไม่มีใครพูดส่งเดช มีที่มาที่ไปทั้งหมด และที่มาที่ไปตนก็ไม่เคยพยายามที่จะไม่พูดตรงนั้น เพราะเป็นความรับผิดชอบของตน ตนอาจจะไม่ได้บอกว่ารักประชาธิปัตย์มากที่สุด แต่ก้ผูกพันมาตั้งแต่ปี 2518 ครอบครัวตนเป็นหัวคะแนนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ มันคือสายเลือด และก็ยึดมั่นในหลักการอุดมการณ์มาจนถึงทุกวันนี้เรื่องซื่อสัตย์สุจริต100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นอะไรที่จะทำให้พรรคเดินไปได้ตนจะทำ เป็นคนที่คุยกับคนเยอะหลายๆคนมันมีปมภายในที่ต้องคุยกัน ตนเรียนท่านหัวหน้าว่าพร้อมที่จะคุยกับท่านได้ จะได้คุยกันว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เราก็คุยกันตรงๆ แต่จะคุยกับตน 2 คนใช่หรือไม่ ขอให้ท่านเชื่อมั่นหลักการอุดมการณ์เต็มร้อย ไม่ต้องกังวล และตั้งแต่เข้ามาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ 22 ปี ยืนยันประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ใคร และจะไม่มีวันยอม เชื่อตนได้ แต่ไม่อยากพูดมาก ไม่อยากจะเป็นข่าว เพราะว่ารู้ตัวว่า ตนต้องรับผิดชอบ

จากนั้นนายเฉลิมชัย สั่งพักการประชุม 10 นาที เพื่อไปพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์

ต่อมาเวลา 11.38 น. กลับมาเปิดประชุมอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวต่อที่ประชุม พร้อมกับน้ำตาคลอว่า จากการพูดคุยเข้าใจตรงกันทุกอย่าง ได้เรียนรักษาการหัวหน้าพรรคจะขอถอนตัวจากการเป็นสมัครหัวหน้าพรรค ด้วยเหตุผลที่แจ้งให้ตนทราบ ขอลาออกจากสมาชิกพรรค แต่ยืนยันไม่มีพรรคอื่น ไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดเป็นสีฟ้าจนวันตาย เป็นลูกพระแม่ธรณี รับใช้บ้านเมืองวันข้างหน้า ถ้าช่วยพรรคในวันข้างหน้าได้ตนไม่ปฏิเสธ หวังว่าผู้บริหารชุดใหม่จะทำงานได้สำเร็จตามที่นายเฉลิมชัยได้กล่าวไว้กับตน

จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการเสนอชื่ออีกครั้ง โดย นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา และรักษาการรองหัวหน้าพรรค ภาคใต้ เสนอชื่อนายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรค ขณะที่นายขยัน วิพรหมชัย อดีตส.ส.ลำพูน ของพรรค เสนอชื่อน.ส.วทันยา บุนนาค มีเสียงรับรองเพียงพอ แต่เนื่องจากคุณสมบัติเป็นสมาชิกไม่ถึง 5 ปี และไม่เคยเป็นส.ส.ของพรรค ขัดกับข้อบังคับพรรค ข้อ31(6) และข้อ32(1 ) จึงต้องใช้เสียง 3 ใน 4 ของจำนวนผู้มาประชุม หรือ 195 เสียง เพื่อยกเว้นข้อบังคับดังกล่าว ปรากฏว่า น.ส.วทันยา ได้เพียง 139 เสียง เท่ากับที่ประชุมไม่อนุญาตให้ลงสมัคร ทำให้เหลือผู้สมัครคนเดียวคือ นายเฉลิมชัย

ด้านนายเฉลิมชัย ลุกขึ้นกล่าวความในใจ ภายหลังเข้าเคลียร์ใจส่วนตัวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคว่า การตัดสินใจของตนในวันนี้มันเจ็บ มันทำลายสิ่งที่ตนสร้างมาทั้งชีวิต ตนเข้าใจ ขอยืนยันว่าตนกรีดเลือดออกมาก็เป็นสีฟ้าไม่เป็นสีอื่นเลย ตลอดเวลาที่ตนอยู่ในพรรคก็เคร่งครัดยึดหลักการและอุดมการณ์ของพรรคไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งตนได้เรียนเรื่องนี้กับนายอภิสิทธิ์ด้วย ตนขอเรียนสั้นๆว่าตนมีความจำเป็น และอยากเห็นพรรคเดินไปข้างหน้า ตนจะทำให้พรรคมีเอกภาพ ยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคที่มีอยู่แล้ว

ที่สำคัญที่ผมได้คุยกับนายอภิสิทธิ์เมื่อซักครู่ที่ผ่านมา ผมได้ยืนยันกับนายอภิสิทธิ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เป็น แต่เราไม่เคยเป็น ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์มา22ปี หลายสิ่งที่ผ่านมาอาจทำให้พรรคสะดุด ผมก็จะพยายามทำทุกอย่าง ผมมาทำงานในภารกิจหนึ่ง ผมจะพยายามทำให้พรรคมีเอกภาพ ทำให้ดีที่สุด และไม่มีวันทำลายหลักการและอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” นายเฉลิมชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายหลังนายอภิสิทธิ์ประกาศลาออกสมาชิกพรรคกลางที่ประชุม ทำให้อดีตส.ส. และสมาชิกพรรคหลายคนถึงกับตกตะลึง นางสาวพิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ นางกันตวรรณ ตันเถียร อดีตสส.พังงา ถึงกับน้ำตาซึม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image