มุมมอง‘เศรษฐา’โรดโชว์ ปลุกเชื่อมั่นลงทุนไทย

หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการ นักธุรกิจ กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย

ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่ลงทุนในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปีและเป็นเบอร์ต้นๆ มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้จะมีจีนที่มีการลงทุนแซงขึ้นมา แต่ญี่ปุ่นก็ยังมองไทยเป็นฐานลงทุนที่สำคัญ และไทยเองก็มองว่าญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนที่สำคัญ

ADVERTISMENT

สำหรับ การที่รัฐบาลได้เดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดคือเรื่องการกระชับความสัมพันธ์ ถือว่าชัดเจนอยู่แล้ว และเรื่องของการอำนวยความสะดวก โดยการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทุนด้านต่างๆ แก้ไขเรื่องอุปสรรค เรื่องความยุ่งยากของกระบวนการขั้นตอนการลงทุน เชื่อว่ารัฐบาลจะช่วยให้สะดวก ทำให้สะดวก และทำงานได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของนักธุรกิจให้ความสำคัญ ถ้าประเทศไหนมีขั้นตอนการทำงานชัดเจน กระบวนการไม่ยุ่งยาก ก็เป็นพื้นฐานของการลงทุน

อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ คือ การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ เดิมทีญี่ปุ่นถือว่าเป็นนักลงทุนอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปรายใหญ่ แต่ในปัจจุบันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลก ไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี ในมิตินี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ญี่ปุ่นที่เป็นผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์อยู่แล้ว และสามารถดึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่มาลงทุนในไทยด้วยจะดีมากเพื่อพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในอนาคต อย่างไรก็ตาม คงยังไม่ถึงขั้นทิ้งการผลิตรถยนต์สันดาปไปเลย แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมไปสู่อุตสาหกรรมอีวีควบคู่กันไป

ADVERTISMENT

การลงทุนแนวใหม่ๆ คงเป็นแนวเดียวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ คือการต่อยอดจากสิ่งที่นักลงทุนมี ซึ่งได้ประโยชน์ ไทยก็ได้ประโยชน์ ในฐานะที่ยังเป็นฐานการผลิตได้อยู่

ส่วนการลงทุนในปี 2567 นั้น ที่น่าสนใจและจะเกิดการลงทุนทันที น่าจะไม่มี แต่ว่าในแต่ละอุตสาหกรรม ต้องมีการประคองตัวไปก่อนและก็เมื่อตลาดกลับมาแล้ว ความพร้อมของผู้ประกอบการและนักลงทุนต้องมี ดังนั้น ในจังหวะนี้เป็นช่วงที่ต้องเตรียมตัว ปัญหา และอุปสรรคที่เคยมี อะไรที่ทำให้ล่าช้า หรือเกิดต้นทุนที่ไม่ควรเกิด ก็เป็นจังหวะเวลาที่ต้องจัดการให้ได้ หรือกระบวนการทำงานต่างๆ ที่ขั้นตอนยังซ้ำซ้อน จัดการได้เรียบร้อย ก็เป็นช่วงที่เตรียมพร้อมไว้ เพื่อรอจังหวะขาขึ้น

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 นั้น ในช่วงครึ่งปีแรกยังอยู่ในโหมดของการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก น่าจะเป็นรูปแบบของการตั้งรับ ดังนั้นเรื่องการส่งออก และออเดอร์ใหม่ๆ ที่จะเพิ่มขึ้นทันทีอาจจะยังไม่เห็นในช่วงเริ่มต้นปี 2567 แต่อย่างน้อยเชื่อว่าน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และทำให้เศรษฐกิจชะลอไป 1-2 ไตรมาส แล้วตลาดก็จะเริ่มฟื้นกลับมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ เหตุผลหลักๆ มาจากการยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ชัดเจน ถึงแม้จะยังไม่ประกาศลดดอกเบี้ยในทันทีทันใด แต่ว่าการไม่ขึ้นดอกเบี้ยต่อ จะส่งให้เศรษฐกิจทั้งโลกขยับตัวได้ เพราะต้นทุนทางการเงินจะบริหารได้แล้วว่าต้นทุนสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่

ทั้งนี้ ช่วงขาขึ้นของเศรษฐกิจ คาดว่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ถ้าเรื่องต่างๆ ไม่ว่า การขึ้นดอกเบี้ยที่จบลงแล้ว และการขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2567 โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% ต่อปี

ชัยชาญ เจริญสุข
ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

การเดินทางไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น เพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศไทย นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มองว่าขณะนี้นายกฯ ทำงานหนัก เดินทางไปหลายประเทศ ซึ่งถือเป็นการสร้างตลาดและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แน่นแฟ้นมากขึ้น และการเดินสายถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องในแง่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ดีมากขึ้นด้วย โดยหากมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีมากขึ้น จะเป็นผลดีในแง่ของ 1.ช่วยเรื่องการเจรจาการค้า 2.การชักชวนมาลงทุน ถือเป็นการสร้างธุรกิจในประเทศไทยให้เติบโตเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างฐานในอนาคตต่อไป และ 3.ห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งส่วนนี้ประเทศไทยมีพร้อมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ประเทศไทยมีครบวงจรทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สะท้อนให้เห็นว่าไทยมีความพร้อมในภาคอุตสาหกรรมสูงมาก

การเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มเติมนั้นรัฐบาลยังจะต้องทำอีกใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรัคเจอร์) ให้สามารถเดินทางเชื่อมต่อกันได้อย่างสะดวก และไร้รอยต่อมากขึ้น 2.ควบคุมต้นทุนต่างๆ อาทิ ค่าไฟฟ้า อัตราค่าแรงงานขั้นต่ำ ต้องทำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สามารถแข่งขันได้ เพราะคู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านของไทยได้เปรียบในเรื่องต้นทุนเหล่านี้ และ 3.เพิ่มทักษะแรงงานให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมในอนาคต ที่จะใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือระบบอัตโนมัติของเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น เนื่องจากในอนาคตผู้ประกอบการจะต้องเน้นไปเรื่องเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพราะไทยต้องแข่งขันกับโลก และรัฐบาลเองก็ลงทุนเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีค่อนข้างน้อย การสร้างทักษะแรงงานฝีมือ ผู้ประกอบการต้องลดการพึ่งพาแรงงานและหันมาให้เทคโนโลยีให้มากขึ้น รวมถึงภาครัฐเองลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมค่อนข้างน้อย ทำให้ต้นทุนการใช้แรงงานเข้มข้นจึงยังสูง สิ่งที่ทำได้ คือการปรับตัวเพื่อให้ทันกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานเพราะไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว

แนวโน้มของภาคการส่งออก ปี 2567 ยังมีปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทั้งจีน ยุโรป สหรัฐ ที่ยังไม่คลี่คลาย จึงส่งผลกระทบต่อไทย ซึ่งอาจได้รับพิษมรสุมพายุเศรษฐกิจไปด้วย ถือว่าค่อนข้างจะหนัก ซึ่งต่อไปการแข่งขันเรื่องการค้าขายจะเข้มขึ้นและดุเดือดขึ้นจากสงครามด้านราคา และการหาตลาดใหม่ ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป เนื่องจากหลายบริษัทได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ โดยการไปโรดโชว์ด้วยตัวเองของนายกฯ จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ได้มากที่สุด โดยภาคเอกชนมีความพร้อมในการทำงานร่วมกับรัฐบาล และที่ผ่านมาก็มีการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากนี้จะต้องสร้างแผนงานวางกลยุทธ์ในการเดินตามแผนงาน และตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อผลักดันในแง่การค้าและการลงทุน

โดยสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เมื่อมีการเปิดประตูแล้ว จะต้องสร้างให้เกิดขึ้นจริงในแง่ผลสำเร็จให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม มีการเข้าไปโรดโชว์อย่างต่อเนื่องของเอกชนและรัฐบาล เพื่อย้ำถึงความจริงจังในการดำเนินการ ไม่ให้เกิดความไม่ต่อเนื่องเหมือนช่วงที่ผ่านมา

ยุทธพร อิสรชัย
สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

โครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) เป็นโครงการที่น่าสนใจ หากทำได้ก็จะสร้างเศรษฐกิจประเทศไทยให้เติบโตมากพอสมควร เพราะวันนี้ปัญหาสำคัญของประเทศคือ เรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งหากไม่มีเรื่องโครงการเกี่ยวกับการแข่งขันที่ใหญ่ หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมไปถึงการพัฒนาองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศ ก็เป็นสิ่งที่ยากเหมือนกันในการสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ซึ่งการทำโครงการแลนด์บริดจ์ มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาและศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

1.ความคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่จะต้องลงทุนจำนวนมาก การที่จะทำให้ผลตอบแทนเกิดขึ้นกับประเทศไทยมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าเท่าใด เพราะอย่าลืมว่าเส้นทางการเดินเรือของโลก เป็นเส้นทางหลักที่ผ่านช่องแคบมะละกาและประเทศสิงคโปร์ เป็นเส้นทางที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน ฉะนั้นการที่ไปตั้งบริษัทข้ามชาติต่างๆ ทั้งในสำนักงานภาคพื้น สำนักงานภูมิภาค เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างมากมาย เรื่องความคุ้มค่า กับการเปลี่ยนเส้นทาง เรื่องของพาณิชย์นาวี หรือการขนส่งทางทะเลต่างๆ เหล่านี้ จะเปลี่ยนไหมเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

2.ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งทางสังคมและประชาชนในพื้นที่ อย่าลืมว่าแลนด์บริดจ์มีถึง 2 ฝากฝั่ง เริ่มที่ จ.ชุมพร และอีกฝั่งหนึ่งเริ่มที่ จ.ระนอง โดยทั้ง 2 จังหวัดมีพื้นที่การท่องเที่ยว ฉะนั้น จะส่งผลกระทบโดยเฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน หรือชายฝั่งตะวันตกของภาคใต้ของไทยหรือไม่ ทั้งเรื่องการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม กระแสน้ำจะมีการเปลี่ยนทิศทางหรือไม่ มลพิษต่างๆจะเกิดขึ้นไหม เพราะว่าจะต้องทำท่าเรือขนาดใหญ่ทั้ง 2 ฝั่ง ต้องคำนึงเรื่องผลกระทบทางสังคม วิถีชีวิตของประชาชนหรือไม่

3.ทุกวันนี้ในเขตพื้นที่ “ทะเลจีนใต้” เป็นเขตที่มีความขัดแย้งในระหว่างประเทศ โดยเฉพาะบทบาทของมหาอำนาจที่ค่อนข้างสูงมากฉะนั้นถ้ามีโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้น เราจะถูกผลักให้กลายเป็นผู้ขัดแย้งในทะเลจีนใต้ด้วยหรือไม่ เพราะหากเกิดการเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือต่างๆ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปด้วย ต่อมาก็อาจส่งผลประโยชน์ทางการเมืองต่างๆ ฉะนั้น เราจะถูกผลักไปเป็นคู่ขัดแย้งด้วยหรือไม่

สิ่งที่รัฐบาลต้องทำการบ้านคือ ต้องมีกระบวนการ ไปศึกษาความต้องการของประชาชน ทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐคือ การมีส่วนร่วมของประชาชน และประชาชนนั้นต้องเป็นผู้ตัดสินใจ หรือกำหนดทิศทางต่างๆ ด้วย

ต้องมีการศึกษาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมกับผลกระทบทางสังคม ทั้งในเชิงวิศวกรรม และในเชิงของการประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment) รวมไปถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment) สิ่งเหล่านี้ต้องมีการศึกษาอย่างรอบด้าน และต้องพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ฉะนั้นอย่าเร่งรีบมากกับโครงการลักษณะแบบนี้

ซึ่งแผนการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์ แบ่งเป็น 4 ระยะ เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2568-2583 ต้องมีความชัดเจน ต้องชี้แจงให้สังคมได้รับรู้ว่าโครงการมีระยะต่างๆ อย่างไร ในเชิงรายละเอียดมีการทำอะไรบ้าง เพราะวันนี้สิ่งที่เราเห็นในสื่อคือ มีการวาดแผนที่ด้วยมือเปล่า เป็นโครงการแลนด์บริดจ์ในบริเวณภาคใต้เท่านั้น ดังนั้น ต้องทำให้ประชาชนเห็นภาพมากกว่านี้

ส่วนการประมูลแบบนานาชาติ (International Biding) เป็นสิ่งที่ไม่แปลกสำหรับโครงการใหญ่ๆ เพราะหลายเมือง หลายประเทศทั่วโลกก็ประมูลเช่นนี้ ปัญหาใหญ่ที่ต้องพิจารณาให้ดีในกระบวนการการดำเนินโครงการคือ การประมูลต้องไม่ปล่อยให้กลุ่มทุนข้ามชาติเข้ามาครอบงำ ในขณะเดียวกันต้องไม่ปล่อยให้เกิดบทบาท หรืออิทธิพลทางการเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง ขั้วใดขั้วหนึ่งของประเทศมหาอำนาจเข้ามาครอบงำ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะสูญเสีย “อธิปไตยทางเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทุกวันนี้เรายังไม่ได้มีพื้นฐานความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งในทางองค์ความรู้ ทั้งทางเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ยกตัวอย่าง วันนี้เราสูญเสียสิ่งที่เรียกว่า อธิปไตยดิจิทัล (Digital sovereignty) แพลตฟอร์มต่างๆ ที่เราใช้ในการซื้อของ แพลตฟอร์มที่เราใช้ในการสั่งอาหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เป็นของไทยเลย

กว่า 30 บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีความสนใจลงทุนโครงการแลนด์บริดจ์นั้น เป็นความน่าดีใจที่นักลงทุนประเทศญี่ปุ่นเบอร์ใหญ่ๆ มีความสนใจ สัญญาณที่บอกว่าเป็นเบอร์ใหญ่ๆ ฟังแล้วอาจจะดูดี แต่ต้องอย่าให้เขาเข้ามาครอบงำ เพราะว่าในแง่การบริหารรัฐกิจ กับการบริหารธุรกิจนั้น ไม่เหมือนกัน การบริหารรัฐกิจ คือประโยชน์สุขร่วมกันของประชาชนในสังคม และเป็นเรื่องของประโยชน์สาธารณะ เป็นสิ่งที่ต้องตระหนักและสำคัญมากเช่นกัน

ดังนั้น ต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบก่อน ต้องพิจารณาในหลายๆ เรื่องก่อนตัดสินใจ ความรวดเร็วในการทำงานเป็นสิ่งที่ดีโครงการขนาดใหญ่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศ แต่อย่าละเลยเรื่องของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะทางสังคม และสิ่งที่จำเป็นอย่างเรื่อง “อธิปไตยทางเศรษฐกิจ” ของประเทศ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ประเทศจะได้รับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image