09.00 INDEX รัฐบาล ฝ่ายค้าน ‘เอกฉันท์’ จับมือ ขวาง ราชการ ทุจริต
ก่อนเข้าสู่วาระแห่งร่างกฎหมาย #สมรสเท่าเทียม ได้เกิดปรากฏการณ์อันน่าตื่นตลึงจากการพิจารณาร่างกฎหมายมาตรการของ ฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
นั่นก็คือ สภาผู้แทนราษฎรลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ 412 เสียงผ่านวาระ 1 จากจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม 412 คน
จำเป็นต้องยอมรับว่าร่างกฎหมายมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับนี้เสนอเข้าสู่การพิจารณา 2 ร่างด้วยกัน
1 เป็นร่างอันผ่านความเห็นชอบมาแล้วของครม.โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นตัวแทน 1 เป็นร่างอันผ่านความเห็นชอบมาแล้วโดยพรรคก้าวไกลโดยมี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นตัวแทน 412 เสียงอันเป็นเอกฉันท์ เมื่อเวลา 16.32 น.ของวันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 จึงสะท้อนเอกภาพในทางความคิดด้วยจำนวน 412 เสียง
นี่ย่อมเป็นความเห็น “ร่วม” อันมีลักษณะในทาง “ประวัติศาสตร์” ที่ควรจดจารบันทึกไว้ด้วยความเต็มตื้น
เหตุปัจจัยอะไรทำให้ “ปรากฏการณ์” เช่นนี้บังเกิดขึ้นได้
หากติดตามเหตุผลไม่ว่าจะเป็น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายก รัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตัวแทนจากพรรค ก้าวไกลก็จะเข้าใจ
เข้าใจว่าสถานการณ์ทุจริตและคอรัปชั่นในวงราชการเป็นสถานการณ์ที่หนักหนาอย่างสาหัสยิ่งในสังคมประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ “จีนเทา” ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ “กำนันนก” ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ “แป้ง นาโหนด” ล้วนสะท้อนให้เห็นลักษณะ 3 ประสานในการทุจริตฉ้อฉล
ส่วน 1 มาจากคนที่ต้องการทุจริต ส่วน 1 มาจากการหาหนทางผ่านโครงสร้างแห่งระบบราชการอันมีลักษณะรวมศูนย์ และ 1 ซึ่งสำคัญคือการรู้เห็นเป็นใจโดยกลไกทางการเมือง
สถานการณ์อันหมักหมมสั่งสมและดำรงอยู่อย่างหนักหนา เช่นนี้เองก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมกลายเป็นมติร่วมอย่างเอกฉันท์
มติอันเกิดขึ้นผ่านรูปธรรมการแสดงออกของ 412 เสียงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร คือสัญญาณบ่งชี้ว่าสังคมไทยจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
แนวทางในการแก้ปัญหาแบบปะผุอาจจำเป็นแต่ไม่เพียงพอ
ข้อเรียกร้องให้พุ่งไปยัง “โครงสร้าง” ไปยัง “ต้อตอ” แท้จริงของปัญหาจึงดังขึ้น และกลายเป็นสถานการณ์ที่มิอาจเอาหัวซุกเหมือนกับนกกระจอกได้อีกแล้ว
มติจึงออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์จาก 412 เสียงที่ร่วมอยู่ในที่ประชุมจึงเป็นสัญญาณเตือนอันดังกึกก้องขึ้นโดยพลัน