สำรวจ ‘ท้องถิ่น’ คึกคักรับเลือก อบจ. การเมืองส่อระอุ

สำรวจ ‘ท้องถิ่น’ คึกคักรับเลือก อบจ. การเมืองส่อระอุ

นับจากการเลือกตั้งท้องถิ่นสนามใหญ่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 76 จังหวัดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปีหลังการรัฐประหารใน ปี 2557

มาถึงวันนี้เหล่าผู้บริหารและ ส.อบจ.ที่เข้าไปทำหน้าที่ในสภาท้องถิ่นนานกว่า 3 ปี จะครบวาระปลายปี 2567

ตามไทม์ไลน์หลังครบวาระจะมีการเลือกตั้งใหม่ ทั้งสมาชิกสภา อบจ. และ นายก อบจ. 67 จังหวัด ภายใน 45 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด หรือภายในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

ADVERTISMENT

ในห้วงเวลาก่อนครบวาระ เริ่มพบความเคลื่อนไหว เตรียมพร้อมเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งกลุ่มนายก อบจ. ส.อบจ.ชุดปัจจุบันที่ส่งสัญญาณให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับทราบ

รวมทั้งผู้สนใจจะลงแข่งขันเริ่มลงพื้นที่เปิดตัว แนะนำตัวกับประชาชนตามงานต่างๆ ในพื้นที่

ADVERTISMENT

สำหรับจังหวัดที่มีบ้านใหญ่ตระกูลดัง หรือนายกชุดปัจจุบัน รวมทั้งจังหวัดที่เป็นฐานของพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาล และฝ่ายค้าน ต่างสรรหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อเตรียมลงสนาม

ในจำนวนนี้ พรรคก้าวไกลมีความเคลื่อนไหวมากที่สุด เพราะช่วงปีที่ผ่านมาแกนนำพรรคออกเดินสายประชุมทีมงานตามภาคต่างๆ เพื่อสรรหาว่าที่ผู้สมัคร จัดทำนโยบายของพรรค จัดเวทีพูดคุยในแต่ละพื้นที่ โดยได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

ส่งสัญญาณว่าเลือกตั้งรอบนี้พรรคก้าวไกลจัดทัพใหญ่สู้ศึกเลือกตั้ง อบจ.ทั่วประเทศ

“วีระ หวังสัจจะโชค” อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มองว่า แม้โดยทั่วไปจะมองว่าการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เป็นการเลือกตั้งจากสภาพปัญหาที่อยู่ในท้องถิ่น ปัญหาปากท้อง ปัญหาชีวิตประจำวันที่นักการเมืองระดับพื้นที่ได้เปรียบ แต่แท้จริงแล้วการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้น จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันพอสมควรกับการเมืองในระดับชาติ โดยเรื่องระดับชาติที่จะส่งผลต่อการเลือกท้องถิ่นแน่ๆ คือ การแก้รัฐธรรมนูญ

ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่จะแก้ไขต้องมีการทำประชามติ การเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ต้องมีการคุยถึงเรื่องการกระจายอำนาจแน่นอน

แม้จะไม่มีการเปลี่ยนรูปแบบด้านการกระจายอำนาจ แต่ประเด็นการปกครองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจจะถูกกำหนดทิศทางผ่านการแก้รัฐธรรมนูญ

ฉะนั้นในการแข่งขันการเลือกตั้งท้องถิ่นจะต้องอยู่ภายใต้บริบทดังกล่าวที่ทำให้ท้องถิ่นปฏิเสธความสำคัญของการแก้ไขการเมืองไม่ได้ ทางหนึ่งคือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีกทางหนึ่ง คือบทบาทความสำคัญของการเมืองระดับชาติที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกันในเรื่องใหญ่ๆ หลายเรื่อง ทั้งการหมดวาระของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)

การเมืองในประเทศตั้งแต่ต้นปีกระทบต่อท้องถิ่นอย่างปฏิเสธไม่ได้ ถ้ากระทบกับท้องถิ่นจะทำให้ความสำคัญของท้องถิ่นในการเลือกตั้งทั่วไปพิสูจน์มาระดับหนึ่งแล้วว่าสามารถเปิดให้กลุ่มการเมืองที่อาจจะไม่ใช่นักการเมืองในพื้นที่ หรือนักการเมืองบ้านใหญ่ ตระกูลดัง พร้อมสอดแทรกขึ้นมาได้ ผ่านกระแสการเมืองในระดับชาติ คือ ใช้กระแสในระดับชาติมาช่วยการทำงานในพื้นที่ใหญ่

“การเลือกตั้ง อบจ.เป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองสูงที่สุดมากกว่าท้องถิ่นระดับอื่น เพราะการเลือก อบจ. คือ การควบคุมทิศทางของจังหวัด คนที่จะเข้ามาแข่งขันเพื่อพิสูจน์คะแนนเสียงของตัวเองในจังหวัด ได้เห็นคะแนนของตนเองอยู่ตรงไหน มีเสียงเท่าไหร่ สนามเลือกตั้ง อบจ.จึงเป็นสนามทดลองคะแนนเสียง ทดลองการหาเสียงการเมืองในระดับชาติไปด้วย ฉะนั้นการเมืองท้องถิ่น คือ ปัญหาปากท้อง น้ำสะอาด ถนน ทางสาธารณะ สาธารณูปโภค สวนสาธารณะ การเก็บขยะ ที่เราไม่สามารถแยกออกจากการเมืองส่วนกลาง”

ส่วนการเมืองในระดับชาติ พรรคการเมืองระดับมืออาชีพที่หันมาลงสนามท้องถิ่น จะไม่ใช้ชื่อพรรคการเมืองสนามใหญ่ในสนามท้องถิ่น เอาชื่อตนเองออกจากชื่อพรรค แต่ใช้ชื่อเป็นทีมรักจังหวัด อย่างเช่น ทีมรักเชียงใหม่ ทีมคนรักชลบุรี พลังชลบุรี ตั้งเป็นชื่อทีมในการหาเสียงและเพื่อบอกว่า เราคือคนท้องถิ่น

แต่แม้ไม่บอกสังกัดพรรค แค่เห็นหน้าคนพื้นที่ก็รู้แล้ว่าสังกัดกับพรรคไหน เช่น พรรคก้าวไกล ครั้งนี้จะแบ่งแยกกันระหว่างพรรคก้าวไกล กับ คณะก้าวหน้าในการหยั่งคะแนน อาจจำเป็นต้องร่วมมือกันแข่งขันในนามพรรคก้าวไกลไปเลย เพราะแยกกันไปก็เท่านั้น เพราะคนเลือกตั้งก็รู้ว่าเป็นคนของพรรคก้าวไกล โดยอาจมาในนามพรรคเพื่อพิสูจน์ว่าพรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนเสียงเยอะๆ เมื่อปีที่แล้ว จะยังรักษาคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง อบจ.ได้หรือไม่

ตรงนี้จะเป็นบทพิสูจน์ความยั่งยืน และอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกล จะกลายเป็นพรรคที่ต้องการสร้างรากฐาน มาจากการเมืองท้องถิ่น จะเป็นบทพิสูจน์ว่า พรรคก้าวไกลเป็นการเมืองที่เป็นสถาบันยั่งยืนหรือไม่ หรือการเลือกตั้งอาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่น่าสนใจ แต่คาดว่า การแข่งขันคงจะสนุก

“โอฬาร ถิ่นบางเตียว” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา วิเคราะห์เจาะสนามเลือกตั้งที่น่าสนใจ โดยเน้นที่การแข่งขันเลือกตั้ง อบจ.ชลบุรี

โอฬารมองว่า สนามนี้มี 3 กลุ่มลงสนามแข่งขัน คือ กลุ่ม “คุณปลื้ม” ที่ต้องรักษาพื้นที่ “กลุ่มพลังใหม่” ของอดีตรัฐมนตรีเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น และกลุ่ม คณะก้าวหน้า ดูจากกระแสการเลือกตั้งทั่วไปที่พรรคก้าวไกลเอาชนะทั้งกลุ่มบ้านใหญ่ และกลุ่มบ้านใหม่อย่างถล่มทลาย ได้ ส.ส.ชลบุรีมากถึง 7 คน จาก 10 คน คณะก้าวหน้าซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกล จึงหวังใช้โอกาสนี้เข้ามามีบทบาทในท้องถิ่น แต่หวังว่าจะมีตัวแทนที่เหมาะสมตามบรรทัดฐานทางการเมืองของคณะก้าวหน้าเนื่องจากการคัดผู้สมัครที่ผ่านมา มีปัญหาล็อบบี้ ทำให้ไม่ถูกจริตคนชั้นกลาง ส่งผลให้พ่ายแพ้การเลือกตั้งนายก อบจ.ชลบุรี

การเลือกตั้ง อบจ.ชลบุรีที่จะเกิดขึ้น หากเปิดตัวทั้งหมด 3 กลุ่ม ความได้เปรียบยังต้องยกให้กลุ่มบ้านใหญ่ ถึงแม้จะพ่ายแพ้การเมืองระดับชาติ แต่ในพื้นที่ยังมีเครือข่ายมาก อาทิ อบจ. เทศบาล อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มสตรี ขณะที่คณะก้าวหน้า ตัวแทนของพรรคก้าวไกล จะได้คะแนนเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลาง แต่การเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติ การตัดสินใจของประชาชนแตกต่างกัน เพราะการเมืองท้องถิ่นต้องอาศัยระบบอุปถัมภ์ การพึ่งพาค่อนข้างมาก ผู้ลงสมัครคณะก้าวหน้ามีจุดอ่อนเพราะจะได้กระแสระดับชาติ เมื่อได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ไปแล้วไม่สามารถดูแลประชาชนแบบอุปถัมภ์ได้ ทำให้เกิดข้อเสียเปรียบในการเมืองท้องถิ่น และการจะหวัง ส.ส.ชลบุรี ของพรรคก้าวไกล 7 คนมาช่วยในเรื่องคะแนนเสียง

“เชื่อว่าถ้าลงแข่งขันถึง 3 กลุ่ม การเมืองในชลบุรีสนุกแน่ เพราะทุกกลุ่มมีจุดอ่อนจุดแข็ง กลุ่มบ้านใหญ่มีต้นทุนมายาวนานจากกำนันเป๊าะ-สมชาย คุณปลื้ม และยังมีเครือข่ายที่มีอำนาจ แต่มีจุดอ่อนเพราะยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเมืองสมัยใหม่ได้ รวมทั้งขัดแย้งกับกลุ่มรัฐมนตรีเฮ้งอีกด้วย ทำให้ฐานคะแนนแตก ส่วนกลุ่มรัฐมนตรีเฮ้งสะสมเครือข่ายนักการเมืองในท้องถิ่นท้องที่ไว้มาก ช่วงชิงมวลชนไปมาก และกลุ่มคนหลักของบ้านใหญ่ยังย้ายไปมากเช่นกัน ช่วงนี้การเมืองยังไม่โดดเด่น จึงมีบทบาทน้อย แต่หากกลุ่มรัฐมนตรีเฮ้งไม่ฮึดสู้ จะไม่มีที่ยืนทางการเมืองและจะแพ้ระยะยาว

ขณะที่คณะก้าวหน้ามีความได้เปรียบเรื่องภาพลักษณ์ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และความไม่พอใจของผู้บริหาร อบจ.ชลบุรี ยังมีการกระจุกตัว รวมทั้งได้เสียงสนับสนุนจากคนชั้นกลาง แต่จุดอ่อนคือ ส.ส.ของพรรคไม่สามารถมีบทบาทในท้องถิ่นได้เท่ากลุ่มการเมืองอีก 2 กลุ่ม จึงเป็นจุดอ่อนของตัวแทนของคณะก้าวหน้า แต่ก็มีโอกาสได้รับชัยชนะเหมือนกัน เนื่องมาจากกลุ่มบ้านใหญ่ยังใช้นักการเมืองแบบเดิมๆ ที่สำคัญผู้อาวุโสจำนวนมาก ทำให้แนวคิดไม่ทันนักการเมืองรุ่นใหม่” โอฬารระบุ

นี่แค่อุ่นเครื่อง การหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. ในหลายพื้นที่เริ่มมีความเคลื่อนไหว

หากการแข่งขันคึกคักกันตั้งแต่ตอนนี้ เชื่อว่าพอถึงฤดูกาลเลือกตั้ง อบจ. อุณหภูมิทางการเมืองท้องถิ่นจะต้องร้อนฉ่า

ร้อนฉ่าตามวิถีประชาธิปไตย ที่มีประชาชนเป็นคนตัดสิน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image