⦁…ระหว่างความรอบคอบเรื่องรายงานการศึกษาที่ “ก้าวไกล” ยกขึ้นมาเป็นเหตุผลลาออกจาก “คณะกรรมาธิการแลนด์บริดจ์” ไม่อยากให้เสี่ยงต่อ “ลงทุนแล้วล้มเหลว” ขณะ “พรรคร่วมรัฐบาล” ตำหนิว่าเอาแต่ “วางเกมการเมือง” บางคนไปไกลถึงกล่าวหาว่า “ไม่คิดถึงผลประโยชน์ชาติ” ไปลากเอา “สิงคโปร์” เพื่อนบ้านมาเป็น “ตัวการขัดขวาง” เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งว่าที่สุดแล้ว “จะลงเอยอย่างไร” ที่แน่ๆ ระหว่าง “ความพยายามอธิบายด้วยเหตุด้วยผล” กับการโจมตีด้วย “วาทกรรม” เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่า “ฝ่ายไหน” ถนัดที่จะทำอะไรในการสื่อสารกับประชาชน
⦁…โครงการ “แลนด์บริดจ์” ที่ถือเป็นอีกหนึ่ง “นโยบายเรือธง” ของรัฐบาลนี้ ทั้งในเชิงคำอธิบายเรื่อง “ผลประโยชน์ของชาติ” และ “มูลค่าเงินลงทุน” เพื่อ “ก้าวไกล” ถูกลากออกมารุมตบกลางแจ้ง ในภาพ “ไม่เห็นประโยชน์ของชาติ” น่าสนใจยิ่งว่าจะตั้งรับกันอย่างไร ในจังหวะที่คิดว่า “เป็นฝ่ายรุก” แต่เปิดช่องโหว่มากมายให้ถูกตอบโต้กลับ
⦁…ท่าทีชัดเจนของ “ก้าวไกล” คือไม่ประนีประนอมกับ “เครือข่ายชนชั้นนำ” ล่าสุด “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ออกมาเอง ไล่ถล่ม “หลักสูตรสร้างคอนเน็กชั่น” ซึ่งเป็นที่นิยมเข้าเรียนของ “คนกลุ่มที่เห็นช่องทางสร้างความเป็นอภิสิทธิ์ชน” เพราะประเทศนี้ความเป็น “อภิสิทธิ์ชน” คือโอกาสนำสู่ความเจริญรุ่งเรืองที่เหนือกว่า ใครเล่าไม่คิดไขว่คว้า การเปิดศึกกับ “หลักสูตร” เท่ากับประกาศสงครามกับ “คนชั้นนำในทุกวงการ” ทั้งในนาม “สถาบันเจ้าของหลักสูตร” และ “คนที่เข้าไปเป็นนักศึกษา” จึงน่าสนใจยิ่งว่านับจากนี้ “ก้าวไกล” จะเจออะไรต่อ
⦁…ที่เพิ่งผ่านไป “วันเด็กปีนี้” คำขวัญนายกรัฐมนตรี “มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย” นั้นนับว่า “ดี” ครบถ้วนในสภาวะที่อยากให้ “เด็กมีในตัว” เพื่อเป็นพลังร่วมกันนำชาติก้าวสู่โลกอนาคต แต่ประเด็นคือจะหล่อหลอมให้ “เด็กไทย” มีคุณสมบัติเช่นนั้นได้อย่างไร ดูเหมือนว่ามีคำตอบอยู่ใน “6 นโยบายเร่งด่วนด้านการศึกษา” ที่ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” นำเสนอไว้แล้ว เนื่องในโอกาส “วันเด็ก” เช่นกัน ที่ “นายกฯอยากให้เด็กเป็น ควรเริ่มที่ให้อะไรกับเด็ก” ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการศึกษา ควรไปหาอ่านกันดู เผื่อว่า “ที่เด็กๆ ถามถึงอนาคตจะพอมีคำตอบบ้าง”
⦁…กูรูจากทุกวงการ ทั้ง “อาจารย์มหาวิทยาลัย–นายแบงก์–นักธุรกิจใหญ่” ต่างรู้อยู่แก่ใจว่า “เศรษฐกิจไทย” เดี้ยงอยู่ทุกวันนี้ เพราะการบริหารประเทศที่ “ขยายความเหลื่อมล้ำในโอกาส” ในทุกวงสัมมนาและเสวนา จะได้ยินข้อสรุปนี้กันอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ว่า “พูดแล้วจบกันตรงนั้น” การเอาข้อมูลมาวางแผนเยียวยา แก้ไข แทบไม่มีให้เห็น “หนี้ครัวเรือน”
ที่เพิ่มขึ้น “ผู้คนหมดปัญญาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ” ต้องปล่อยให้ถูกยึดมีมากขึ้น “คนจนเจ๊งเท่าไร เป็นโอกาสคนรวยสะสมทรัพย์สินได้มากขึ้นเท่านั้น” จนกว่าจะพากัน “พังไปด้วยกัน” เพราะ “รัฐบาลจะต้องหมดปัญญาหาเงินสร้างกำลังซื้อให้คนจนเข้าสักวัน”
⦁…ตัวเลขจาก “ดร.มานะ นิมิตรมงคล” เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เงินจากการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” สะพัดใน “โครงสร้างอำนาจรัฐ” กว่า 500,000 ล้านบาท ผ่านพฤติกรรม “เงินทอนจากการจัดซื้อจัดจ้าง–เงินเอาเปรียบรัฐ–ขโมย–ยักยอกเงินหลวง–สินบน ส่วนต่างๆจากเศรษฐกิจนอกระบบ–สินบนจากชาวบ้านเมื่อไปติดต่อราชการ–สินบนจากธุรกิจ อุตสาหกรรม–สินบนเพื่อให้ได้ใบอนุญาตจากข้าราชการ–สินบนที่ประชาชนต้องจ่ายเมื่อเผชิญกับเจ้าหน้าที่นอกสถานที่ราชการ–ซื้อขายตำแหน่ง–ค่าวิ่งเต้นล้มคดี–ค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่นของรัฐ” เมื่อหนักหนาขนาดนี้จึงน่าสนใจที่บ้านนี้เมืองนี้ ไม่อนุญาตให้ “ปรับโครงสร้างการบริหาร” โดยไม่มีใครกล้าแม้จะตั้งคำถามว่า “เพื่อใคร”
⦁…การเมืองในประเทศที่ “ดราม่า” สร้างกระแสได้มากกว่า ที่ “รังสิมันต์โรม” หงุดหงิดนั้น “เข้าใจได้” แต่หากมองให้ขาด “ความพยายามที่จะทำงานการเมืองอย่างมีสาระ” กับ “เทคนิคการเมืองเขียนภาพคู่แข่งให้เป็นกระแส” นั้น เป็นชั้นเชิง และประสบการณ์สะสมที่ใช้ได้ผลมาทุกยุคสมัย แม้นั่นจะเป็น “การนำความไร้สาระมาตัดสิน” แต่ในทางการเมือง “ชัยชนะคือคำตัดสินที่ทรงประสิทธิภาพเสมอ”
ชโลทร