แบงก์ชาติ รัฐบาล แลกหมัด เศรษฐกิจวิกฤตจริงไหม!? กับดักกู้ 5 แสนล.-ดิจิทัลวอลเล็ต
กำลังเป็นที่จับตาว่าที่สุดแล้วรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร เกี่ยวกับโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล (ดิจิทัลวอลเล็ต) หรือการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะยังคงเดินหน้าออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการหรือไม่ ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าทำได้ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย เช่น สถานการณ์วิกฤตไม่สามารถตั้งงบประมาณได้ มาตรา 57 ความคุ้มค่าของโครงการต้องมีการประเมินผลก่อนและหลัง รับฟังความคิดเห็นให้รอบด้านจะต้องมาดูว่าจะทำกลไกอย่างไรเพื่อที่จะรับฟังความคิดเห็น เสียงสะท้อนจากประชาชน หรือเสียงสะท้อนจากส่วนงาน ยังสร้างความไม่แน่ใจให้กับรัฐบาลมากนัก กอปรกับมีเอกสารจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาท้วงติง ซึ่งทีมรัฐบาลก็พยายามที่จะบอกว่าความเห็นดังกล่าวรัฐบาลจะทำตามหรือไม่ก็ได้ ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่าโครงการนี้ จะซ้ำรอยโครงการรับจำนำข้าวในสมัย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรหรือไม่
แต่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังคงหนักแน่นและมั่นคงยืนยันว่ารัฐบาลมีเรือธงในการใช้เครื่องมือแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แต่มีเสียงวิพากย์วิจารณ์ ซึ่งก็ควรรับฟัง และยืนยันว่า ดิจิทัลวอลเล็ต คือ การดึงประชาชนเข้ามากู้วิกฤตด้วยกัน แจกเงินคนละ 10,000 บาท ไม่ได้คำนึงถึงคนจนหรือรวย แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสใช้สอย เพื่อให้เกิดบรรยากาศและการเพิ่มกำลังซื้อ ซึ่งจะช่วยขยับขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะเครื่องจักรเศรษฐกิจหลายตัวดับลงเกือบหมด ทำให้การนำเงินไปเพิ่มกำลังซื้อ เพื่อขยับขึ้นมาหมุนวงจรเศรษฐกิจได้อีกหลายรอบ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญ แต่ยังไปไม่ได้ เพราะยังมีการตั้งคำถามอยู่ ซึ่งถือเป็นข้อพึงสังวร ไม่ใช่ข้อพึงปฏิบัติ รัฐบาลจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อไป เพราะเป็นนโยบายที่เพื่อไทยหาเสียง ตกลงร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเสนอเป็นนโยบายต่อรัฐสภา รัฐสภารับแล้ว ต้องทำได้ ไม่มีสิทธิมาขัดขวาง เป็นนโยบายที่ต้องทำ รัฐบาลนี้เดินหน้า แม้อุปสรรคมีก็จะทำ
แม้คำยืนยันหนักแน่นมั่นคงรัฐบาลก็พยายามเดินหน้าที่จะหาข้อมูลมารองรับคำว่าวิกฤต เพื่อให้มีน้ำหนักมากพอในการดำเนินการ โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพื่อหาความชอบธรรมในการที่จะออก พ.ร.บ.กู้เงิน เพื่อนำมาใช้จ่ายในโครงการนี้ให้ได้ โดยให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมาให้ข้อมูลการปรับลดเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2566 ใหม่ โดยคาดการณ์เติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า เศรษฐกิจไตรมาส 4 ต่ำกว่าเป้า เพราะการใช้กำลังการผลิตต่ำ พร้อมกับคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตของปี 2567 ใหม่ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 2.8% แต่ทั้งนี้ไม่ได้ระบุว่า เศรษฐกิจไทยถึงขั้นวิกฤตหรือไม่
และในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่หลายคนมองว่าอยู่คนละขั้ว ยืนกันคนละข้างกับรัฐบาล ก็ได้นำเสนอรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ได้สรุปตัวเลขการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2566 โดยระบุว่ายังคงฟื้นตัวอยู่แม้จะชะลอลงบ้าง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ประมาณ 2.5% พร้อมกับคาดการณ์ว่าปี 2567 น่าจะขยายตัวที่ 4.4% (กรณีรวมผลมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท)
ตอกย้ำกับคำสัมภาษณ์ของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.ที่ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมาว่า หากจะเพิ่มอัตราการเติบโตที่มีศักยภาพในระยะยาว สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือเรื่องของโครงสร้าง ต้องมีการเพิ่มผลผลิต แต่วิธีที่จะไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เพียงแค่การนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาใช้เท่านั้น พร้อมยืนยันว่า ธปท.เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัว แต่ช้ากว่าที่คาดไว้ จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ 2.4% เนื่องจากการส่งออกและการท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า แต่ย้ำว่า “นี่ไม่ถือเป็นวิกฤต” และบอกให้รอการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของปี 2566 ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้
เป็นการปล่อยให้หน่วยงานราชการผู้ที่ดูแลเรื่องมาตรการการเงินการคลัง ออกมาประลองยุทธ์ห้ำหั่นกันเอง แลกกันคนละหมัด ด้วยข้อมูลที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ในมือ
จริงๆ แล้วยังเหลือ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งมีหน้าที่เสนอความเห็น ให้คำแนะนำ และข้อชี้แจงต่อรัฐบาลในเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ อีกหน่วยงาน ที่ยังไม่เผยแพร่ตัวเลขดังกล่าวออกมา
ไหนๆ ก็ไหน เมื่อรัฐบาลยอมรับแล้วว่าการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต อาจจะช้ากว่าไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ ก็ควรรอให้ตัวเลขแท้จริงของ 3 หน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ ออกมาก่อนดีกว่าไหม!
แล้วค่อยตัดสินใจว่าเศรษฐกิจไทยวิกฤตจริงๆ แล้ว และจำเป็นต้องเดินหน้าออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน เพื่อนำมาแจกให้ประชาชนคนละ 10,000 บาทจำนวน 50 ล้านคน
แค่อีกไม่เกิน 1 เดือน ก็ยังไม่สาย!