ผังเมือง (เรื่อง) ในใจ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ‘คุณต้องมีตัวเลือกให้เรา’

ผังเมือง (เรื่อง) ในใจ
ศุภณัฐ มีนชัยนันท์
‘คุณต้องมีตัวเลือกให้เรา’

“ตั้งแต่เป็น ส.ส.มา เจอปัญหาสารพัด อยู่ดีๆ หมอชิต 2

อยู่ดีๆ มาผังเมืองกรุงเทพฯ อยู่ดีๆ ยาราคาแพง อยู่ดีๆ ประกันโควิดโดนเชิดเงิน ศูนย์เด็กเล็กไม่มีไฟฟ้าใช้

“เลือกตั้งเสร็จปุ๊บไม่กี่วัน เริ่มโหลดเข้ามาเลย งานค่อนข้างเยอะ ทุกปัญหาก็โถมเข้ามา ช่วงแรกเป็นปัญหาเชิงพื้นที่ ต่อมาเริ่มเป็นปัญหาทุจริต ปัญหาโครงสร้าง มาทุกรูปแบบ เด็กไม่ได้เข้าเรียน ยาเสพติด โครงการบ้านมั่นคงริมคลอง ทุกอันโดนหมด ก็ต้องจัดการทีละเรื่อง อันไหนเป็นโครงสร้างก็อาจจะใช้ระยะเวลานานหน่อย”

ถ้อยคำข้างต้น ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร แต่คือส่วนหนึ่งในคำตอบต่อคำถามที่ถึงการทำงานใน 7 เดือนที่ผ่านมาของ แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ซึ่งประชาชนกว่าครึ่งแสนในเขต 9 บางเขน จตุจักร หลักสี่ หยิบปากาเทใจให้เป็นตัวแทน กวาด 50,132 คะแนน สูงสุดยืน 1 ในกรุงเทพฯ

ADVERTISMENT

ไม่เพียงลุยแก้ปัญหาของชาวบ้าน ขยันลงพื้นที่ถี่ยิบ ยังมอบของขวัญปีใหม่ด้วยการตีแผ่ปมปัญหาขยี้ใจอย่าง ‘หมอชิต 2’ ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เละเทะ! ต้องเร่งแก้ไข

ล่าสุด ร่วมวงรับฟังความเห็นประเด็นร้อน ‘ร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 4)’

ลุกคอมเมนต์ เอ่ยวาทะ ‘ผังเมืองเอื้อนายทุน’ ทั้งยังยกมือชี้จอข้อมูล จนถูกเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าชี้หน้าคณะทำงาน กลายเป็นภาพที่ขยับอุณหภูมิร้อนของบรรยากาศการถกเดือด ทำเอาประชาชนหันมาโฟกัสร่างผังเมืองอีกครั้ง หลังเคยมีกลุ่มคัดค้านเคยบุกศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า มาก่อนแล้ว

ไม่กี่วันที่ผ่านมา แบงค์ ศุภณัฐ ประกาศเป็น ‘สื่อกลาง’ ถามกรุงเทพมหานคร จัดแบบฟอร์มรวบรวมทุกคำถามจากประชาชนในประเด็นผังเมืองกรุงเทพฯ ก่อน ‘เปิดแผล’ ซ้ำ ด้วยข้อมูลที่ดินย่านประเสริฐมนูกิจที่ติดแฮชแท็ก #แดงยันบึง โดยตั้งคำถามว่า ‘ผังแดง’ แต่ละจุดใช้หลักการอะไร

‘ถามกี่ครั้งไม่เคยได้เอกสารชี้แจง มีแต่คำพูดล้วนๆ

‘จากแดงกลางบึง ตอนนี้ขยายให้ครอบคลุม แดงทั้งบึง แอบสอดไส้หรือไม่ เจาะจงเอื้อหรือไม่ ให้ประชาชนพิจารณาดูครับ

กทม.ควรต้องทำ ผังเมืองเฉพาะ ได้แล้วครับ เพราะผังเมืองรวม ระบายสียิงกราดแบบนี้ แอบซ่อนอะไรไว้เยอะ กว่าจะหาเจอเหมือนเล่นเกม #photohunt ดูไวๆ ไม่รู้เลย’

คือส่วนหนึ่งของข้อความที่โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กซึ่งมีไว้สื่อสารกับทุกภาคส่วน

ไม่ใช่เพียงเพราะดีกรีปริญญาตรี บริการโครงการเพื่อการก่อสร้าง University College London (UCL) และปริญญาโท อสังหาริมทรัพย์และการเงิน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ University of Cambridge ประเทศอังกฤษ หากแต่ด้วยความสนใจในความเป็น ‘เมือง’ ที่มีมาแต่เดิม ทำให้ ส.ส.แบงค์โฟกัสแบบกัดไม่ปล่อย

“ผมชอบดูเมือง เวลาไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็ชอบเดินดูไปเรื่อยๆ ชอบพวกตึกเก่าๆ สไตล์โกธิค เรเนซองส์ บาโรก บางทีไม่ได้ใช้ขนส่งสาธารณะเลย แต่เดินด้วยเท้านี่แหละ เดินไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง 10 กิโล ก็ชิลๆ เดินพักเดินดูนั่น ดูนี่ อะไรอย่างนี้”

แบงค์เล่าไปยิ้มไปในวันนัดหมายพูดคุยก่อนลงพื้นที่ในช่วงบ่าย

ไม่ถามไม่ได้ ว่าทำงานหนักขนาดนี้มีเวลาคุยกับใครไหม?

ได้คำตอบที่อาจทำสาวน้อยสาวใหญ่ ‘ใจฟู’

“เวลานอนยังไม่มี (ยิ้ม) ทุกวันนี้ตีหนึ่งทีมงานโทรมาคุย ทุกวันนี้ตาดำเมี่ยม คนบอกน้ำหนักขึ้นก็ใช่

ผมรู้สึกว่าเวลาน้อยจริงๆ นอนน้อยลงเยอะเลย”

ถึงนอนน้อย แต่นอนนะ และยังมีเวลา ‘ดูหนังบ้างไม่งั้นก็ไปเที่ยว’

ว่าแล้วมาเข้าประเด็นผังเมืองที่เป็นเรื่องน่าจับตาอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้

⦁ เรื่องร่างผังเมืองรวมกรุงเทพฯนึกอย่างไรวันนั้นถึงไปร่วมฟังด้วย?

จริงๆ ผมไปฟังตั้งแต่ช่วงปลายปีแล้ว เรียกเจ้าหน้าที่ไปคุยกับ กมธ.ก่อนปีใหม่แล้ว ว่าทำไมจัดรับฟังความเห็นช่วงคริสต์มาส เขาบอกขยับไม่ได้ ทางพรรคติดตามมาน่าจะ 3-5 เดือนแล้ว มีคนเริ่มมาสะกิดว่า เอ๊ย! ผังเมืองจะออกแล้ว เราก็ไปนั่งเช็กดูร่างว่าเหมาะสมไหม กระบวนการรับฟังอยู่ไหน ถ้าเกิดผมสุ่มถาม 200 คน ว่าเคยร่วมงานผังเมืองไหม ไม่เคยร่วม แต่เอาตัวเลขมาจากไหนไม่รู้ 3,000 คนว่าไปร่วมงาน (หัวเราะ)

⦁ ในฐานะที่มีบ้านทั้งใน กทม. และ ‘ลอนดอน’ ผังเมืองเหมือนและต่างกันอย่างไร ควรจะปรับจุดไหนไหม?

หลักๆ ผมว่าเริ่มต้นจากการมีส่วนร่วมของประชาชนจริงๆ ก่อนเลย ผังแต่ละรูปแบบมันมีนัยยะทางผลประโยชน์ และทางโทษ แค่สีที่ต่างกันมันคือความเหลื่อมล้ำในตัวมันเองอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่คุณจะบอกให้คนกลุ่มหนึ่งสีหนึ่ง สิทธิอีกแบบหนึ่ง คุณถามใครหรือยัง การเอากฎมาครอบ อย่างดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 กับ 5,000 ทำไมได้ไม่เท่ากันทั้งที่เป็นคนไทยเหมือนกัน เหมือนเราจะร่างกฎหมายร่างหนึ่ง ก็ต้องถามประชาชนก่อน แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ถามประชาชน คิด Top down ครอบเสร็จใช้เลย รวบรัดตัดตอน นี่คือปัญหา อาจจะบอกว่ามีการถามประชาชนแล้ว แต่ถามว่าเยอะแค่ไหน

⦁ ล่าสุด กทม.ก็ขยายเวลารับฟังความเห็นไปถึงเดือนกุมภาพันธ์แล้ว?

สำหรับผมขยายเวลาไม่ช่วย มันผิดคอนเซ็ปต์ตั้งแต่แรก ประชาชนควรมีส่วนร่วมตั้งแต่การดีไซน์ วิชั่นของเมืองคืออะไร คุณชอบเมืองแบบไหน ต้องรื้อใหญ่ไม่ใช่รื้อเล็ก ว่าฉันไม่เห็นด้วยกับเส้นนี้ของฉัน ขอแก้หน่อย หรือคุณจะเอาเมืองคอมแพกต์ไหม เมืองคอมแพกต์ = ทุกคนเน้นการกระจุกตัวในเมือง หมายความว่าในเมืองแออัด บางบ้านที่อยู่ตามซอยคุณต้องเตรียมรับสภาพว่าคุณจะทนทุกข์นะ เพราะคุณต้องเปลี่ยนบ้านเป็น 4-5 ชั้นเพื่อให้รองรับคนได้ แต่คุณต้องเหมือนแมนฮัตตัน คือสูงไปหมด ทรงตึกชะลูดหน่อย เน้นทรงบางสูงเพื่อให้มีพื้นที่ แต่ตึกในกรุงเทพฯ แต่ทุกวันนี้ตึกอ้วนกลาง อ้วนสูงบ้าง (ยิ้ม) มันไม่มีกฎที่ตกลงกันชัดเจน

⦁ เหมือนตอนนี้ต่างคนต่างฟรีสไตล์?

ถ้าทำแค่ผังเมืองโดยที่ไม่มีมาตรการตามมา ปัญหามันเกิด ถามว่าตอนนี้ใครได้ประโยชน์ ผมพูดเลยคนที่เป็นเจ้าของที่ดินใจกลางเมือง ที่ดินผมราคาเพิ่มขึ้นทุกปี แล้วรัฐมีมาตรการอะไร ทำให้คนที่ดินขึ้นเนื่องจากผังเมืองเป็นตัวกำหนด ซึ่งไม่ได้กำหนดแค่เรื่องผังสี แต่ยังกำหนดเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้วย ทุกวันนี้เราทำทางด่วน สะพาน ก็ลงในเมืองส่วนใหญ่เพราะรถมันติด ลงบีทีเอสในเมืองเป็นแกนแรก คุณได้ประโยชน์ทั้งหมดทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านการลงทุนของภาครัฐทุกอย่างที่คุณหมด ถามว่าอัตราภาษีคุณจ่ายมากกว่าคนอื่นไหม ถ้าบอกว่าวันนี้ผังสีแดงต้องจ่าย 5% ผังสีอื่นต้องจ่ายลดหลั่นตามสิทธิที่ดินที่คุณได้ เพราะอย่าลืมว่าราคาที่ดินของคุณที่ขึ้นมาพุ่งจรวดขนาดนี้ มาจากรูปแบบของผังเมืองที่ดันราคาขึ้น ไม่อย่างนั้นที่ดินใจกลางเมืองอยู่ดีๆ จะตารางวาละ 3-4 ล้านได้ไง

⦁ บางคนอยู่ดีๆ มีที่ดินพินัยกรรม ก็รวยขึ้นมากะทันหัน?

เหมือนกับถ้าวันนี้ตัดถนน หรือขยายถนนหน้าบ้านคุณ ที่ดินราคาขึ้นทันที เลยมีกฎเกณฑ์เรื่องของ ‘ภาษีลาภลอย’ เวนคืนที่ดินจ่ายราคาเวนคืนครึ่งหนึ่ง ถูกลงหน่อย เพราะว่าคุณได้ถนน ตัวผังเมือง แน่นอน ไอเดียมันอาจจะไม่ได้อยากต้องการเอื้อใคร แต่ผังเมืองที่ดีต้องมาพร้อมมาตรการที่เป็นแพครวม เพราะการมีผังเมืองไม่มีความเท่าเทียมอยู่ แต่ถ้าประชาชนมีความรู้ที่ไม่เท่ากัน คนที่รู้และอ่านผังเมืองออก ก็รู้ว่าข้างในโต ข้างนอกไม่โต รู้ว่าใครจะได้เปรียบ-เสียเปรียบ และสองคือการที่ไม่มีมาตรการตามมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำตรงนี้ มันเท่ากับว่าคุณเอื้อเต็มๆ ให้ก้อนกลาง ถ้าไปอิงกับ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร คนที่ได้ประโยชน์มาก คือมีที่ดินติดถนนใหญ่ สร้างตึกสูงได้ คนที่อยู่ในซอยสร้างได้นิดๆ หน่อยๆ 2,000 ตร.ม. แต่ห้างสรรพสินค้า 200,000-300,000 ตร.ม.นะ เพราะฉันติดถนนใหญ่ ขึ้นตึกสูงมหึมา 60-70 ชั้นได้ ฉันได้เปรียบกว่าคนอื่นเขาเยอะ นี่คือความแตกต่าง

สิ่งที่รัฐควรจะทำจริงๆ ต้องเป็น ‘ผังเมืองเฉพาะ’ ที่จะโฟกัสในแต่ละแปลง คุณอยู่ในซอย รัฐลงทุนถนนให้คุณน้อย ก็ควรจ่ายภาษีน้อยกว่าคนที่มีถนนใหญ่ ทั้งที่ต่อให้เป็นแปลงติดกัน กระทั่งที่ดินตาบอด หรือฉันควรจ่ายน้อยกว่าเพราะฉันสร้างอะไรไม่ได้เลย แต่ที่ติดกันสร้างได้ทุกอย่าง ถ้าไม่มีมาตรการสุดท้ายแล้วก็ยังเอื้ออยู่แค่คนกลุ่มหนึ่ง

⦁ หรือต้องไปแก้ พ.ร.บ.ผังเมือง พ.ร.บ.ที่ดิน ด้วย?

ต้องมาครบลูป มาแค่นี้มันไม่ใช่ ถ้านักผังเมืองไม่รู้เรื่องเป็นไปไม่ได้ คุณบอกเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ถ้าเรื่องพวกนี้ไม่เสนอ ผมให้ตกนะ (ยิ้ม) แต่ผมเชื่อว่าเสนอ แต่ไม่นำไปปฏิบัติ บางคนซื้อเก็บไว้ โดนภาษีเยอะๆ ก็จะเริ่ม เฮ้ย! ฉันต้องจ่ายปีละ 5% ของมูลค่าที่ดิน ตาย! อาจจะเริ่มคายที่ดิน ขายออก ถ้าไปเก็บเรตใกล้ๆ กัน ก็ปลูกกล้วยเลี่ยงภาษีอยู่ดี ปล่อยไปได้ไง คุณทำกิจการคนละด้านกับผังสี ผังสีเขาให้คุณทำพาณิชย์แต่ดันไปทำเกษตร ก็ต้องมีเอ็กซ์ตราชาร์จหรือเปล่า

⦁ มันหยวนๆ กันเกินไป?

คือโครงใหญ่ อาจจะไม่ได้จะทำให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่มาตรการย่อยที่ไม่ออกมานี่แหละ มันติดกับโครงใหญ่ เหมือนออก พ.ร.บ. แต่ไม่ออกกฎกระทรวง

⦁ คิดอย่างไรกับที่ผู้ว่าฯวอนอย่าใช้วาทกรรม ‘เอื้อนายทุน’ สร้างความแตกแยกในสังคม ก่อนออกมาขอโทษที่ใช้คำแรง?

(หัวเราะ) เอาจริงๆ ตอนฟัง ผมไม่ได้อะไรกับแกเลยนะ ผมเฉยๆ ด้วยความที่เป็นคนฝ่ายปฏิบัติ บางทีอาจมีความจำเป็นในการดีเฟนด์องค์กร พยายามลดกระแสลดโทนของสังคม เป็นเรื่องปกติ แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่า หนึ่ง ตัวผลลัพธ์ของผังเมืองมันออกมาบอกเราแล้วว่า เอื้อคนส่วนมากหรือส่วนน้อย สอง ที่บอกว่าเป็นวาทกรรม ผมว่าเป็นอินเนอร์ของคน มันคือความรู้สึกที่อยู่ข้างในว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้สึกว่ายังเหลื่อมล้ำอยู่

⦁ เหมือนเขารู้สึกยังไม่แฟร์กับตัวเอง?

ใช่ คุณห้ามไม่ให้เขาพูดได้ แต่ห้ามคิดไม่ได้ เขาก็คิดอยู่ดีว่าฉันไม่เคยได้ประโยชน์อะไรจากผังเมืองนี้ ต้องมีการเอื้อประโยชน์ จนกว่าจะทำให้สังคมเริ่มมีความเท่าเทียมกันในเชิงของสิทธิ เขาถึงจะบอกว่าผังเมืองดี

⦁ มียุคนึงที่อะไรๆ คนก็โทษผังเมืองว่าไม่ดีอย่างเดียว หรือจริงๆ มีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย?

ถนนเส้นหนึ่งใน กทม. มีทั้งสำนักการโยธา, เขต ,กรมทางหลวง, กรมทวงหลวงชนบท, รฟม. เจ้าของเต็มไปหมด ไม่รวมซอยย่อยเอกชน นั่งเก็บตังค์ 3 บาท 5 บาท หรือที่เอกชนที่ยกให้หลวง เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีอำนาจคนเดียว การสั่งงานเลยช้า แล้วถ้า กทม.มีอำนาจเต็มๆ ขึ้นมา ไหวหรือเปล่า เหมือนเหรียญ 2 ด้าน การกระจายอำนาจดีแต่คุณต้องพร้อมรับด้วย อย่างที่ลอนดอนมี Transport for London มีองค์กรที่ดูแลเรื่องคมนาคมโดยตรงแยกออกมา ถ้าทุกโหมดอยู่ภายใต้ Transport for Bangkok ก็จะจบ ขนส่งทุกรูปแบบ แม้กระทั่งแกร็บ เรื่องใบอนุญาต ป้ายรถเมล์แต่ตอนนี้มันเละเทะไปหมด

⦁ เวลาตามเรื่องทีเป็นไง ?

ตามยาก ต้องประชุม 3 ฝ่าย 4 ฝ่ายตลอดไม่รู้ทำไม ประชุมในองค์กรไม่จบหรอ (หัวเราะ)

⦁ พื้นที่ฟลัดเวย์ รองรับน้ำท่วม ในผังเมืองกรุงเทพฯ จำเป็นอยู่ไหม?

ผมว่าไม่จำเป็น จริงๆ รัฐมีศักยภาพทำมากกว่านี้ ขนาดสนามบินสุวรรณภูมิยังปกป้องได้ทั้งก้อนเลย แล้วทำไมประชาชนอีกเกือบล้านคนถึงปกป้องไม่ได้ คุณจะเอาไปเป็นฟลัดเวย์ได้ไง ถ้ามันอยู่ใน Priority หลัก ก็ต้องถูกจัดการ กระทั่งที่ว่ารัฐสามารถที่จะพัฒนาเขื่อนตรงนี้ให้เป็นแนวเขื่อนเป็นอะไรได้โดยที่ไม่ต้องเอาที่ดินประชาชนมารับ หรือถ้ารับมีค่าชดเชยให้สิ หรือว่ารัฐจะเวนคืนที่ดินทำแก้มลิงก็สิทธิของคุณ แต่ทุกวันนี้คุณให้เขารับฟรีๆ ทุ่งหญ้านาข้าว ไม่ต้องปลูกแล้วอีก 3 เดือน แล้วคุณให้อะไรเขากลับ? ทุกคนก็คงทำเขื่อนบังน้ำของตัวเองหมด ทำไมฉันต้องรับน้ำ ฉันเสียหายแล้วมีใครชดเชยฉันไหม

⦁ มีประชาชนมาร้องเรียน อยากให้เปลี่ยนสีผังฟลัดเวย์เป็นสีอื่นด้วย?

พื้นที่ฟลัดเวย์ ศักยภาพในการพัฒนายากมาก เขาไม่ต้องการให้สร้างบ้านเยอะ เพราะจะบล็อกทางน้ำ มีความพยายามเลี่ยงกฎหมาย กระทั่งสุดท้ายฟลัดเวย์ก็ไม่ได้เป็นฟลัดเวย์จริงๆ แต่ส่วนหนึ่งสนามสุวรรณภูมิมาขวางไว้ ลงไม่ถึงข้างล่าง แล้วเขาบอกว่าฟลัดเวย์ตอนนี้มีไว้สำหรับระบายน้ำเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าคลองแสนแสบก่อน ถ้าเกิดเมนหลักคือใช้ระบบคลอง แต่อาจจะมีน้ำเกินมาช่วงใดช่วงหนึ่ง สุดท้ายเขื่อนริมคลองกั้นตลอดทางจะเป็นฟังก์ชั่นที่ช่วย แล้วพัฒนาถนนสองข้างทางคลองไป มันเกิดการพัฒนาต่อ ผมคิดว่ามันเหมือนพลเมืองชั้นสอง ไม่ได้อยู่ในบริบทที่เขาจะต้องโฟกัส สิ่งที่เขาโฟกัสก็คือรถติด รถติดๆๆ

พยายามทำทางด่วนทำไปกี่เส้นแล้ว รถไฟฟ้าถมไป 1 ล้านล้านแล้ว คือยังไงก็ไม่จบถ้าเกิดทุกองคาพยพไม่คุยกันจริงๆว่า แผนกรุงเทพฯมันจะเป็นอย่างไร คุณต้องมีเป้าเลยว่า ถ้าตัดรถไฟฟ้าเสร็จปุ๊บ จะต้องมีบ้านเรือนเพิ่มขึ้นในบริเวณแนวรถไฟฟ้าอีกกี่ยูนิต รองรับคนได้กี่แสน ในที่ราคาจับต้องได้ ให้คนเกิดการย้ายมาอยู่ใกล้ๆ คือมันต้องมี Strategy (กลยุทธ์) ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตเขา ไม่ใช่เขาอยู่แบบเดิม ฉันก็ทำของฉันไป สุดท้ายกลัวขาดทุนเลยปรับผังเมืองตามระบบราง เพราะประชาชนไม่เปลี่ยนวิถี ขับรถตัวเองไปไม่มีที่จอดข้างสถานีรถไฟ คิดไปคิดมา ฉันมีรถดีกว่า ไม่ต้องจ่ายค่านี่นั่น สุดท้ายก็ไปดันผังเมืองให้หนาแน่นขึ้น แต่แก้ได้จริงไหม

⦁ จากคำชี้แจงล่าสุดของผู้บริหาร กทม.ชัดเจน เคลียร์ใจหรือยัง?

โอ้โห! ล่าสุดที่คุยกันก็ยังดูไม่เคลียร์เท่าไหร่ ถ้าเคลียร์คือต้องเริ่มต้นที่ Vision ของเมืองก่อน จะเอาเมืองโตแบบไหน โตแบบใจกลาง หรือโตแบบกระจาย คือมันไม่มีความชัดเจน แล้วมันก็ไม่มีตัวเลือกว่า แบบนี้ตอบโจทย์พื้นที่สีเขียวนะ แต่สิ่งที่คุณจะเสียไปคือ 1 2 3 แบบนี้ตอบโจทย์ประชาชนจะอยู่ใจกลางเมืองหมดเลย ทุกคนไม่ต้องเสียค่าเดินทาง แต่ค่าใช้จ่ายตรงกลางอาจจะแพงขึ้น แออัดมากขึ้น นี่คือข้อเสียนะ มลพิษเยอะ แล้วก็พื้นที่รอบๆ โล่งเลยไม่ค่อยมีใครอยู่เพราะต้องการสร้างเมืองแบบนี้

ต่อมา คือแบบกระจายอำนาจ กระจายความเจริญ ตรงกลางไม่แออัดมาก รอบๆ ข้างโตขึ้นนะ แต่พื้นที่สีเขียวรอบๆ น้อยลง ฟลัดเวย์ในการรับน้ำน้อย แก้มลิงรับน้ำน้อยลง คือมันต้องมีน้ำหนักให้เรามาเลือก แต่ทุกวันนี้ไม่มีให้เราพิจารณา ว่าพฤติกรรมของเราต้องเปลี่ยนไปแบบไหน เพื่อตอบโจทย์กับผังเมืองที่รัฐบาลอยากจะครอบให้เราอยู่ เพราะถ้าคุณไม่ปฏิบัติตัว คุณก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ เมืองนี้มันอยู่ยากอะไรยาก เขาอยากให้คุณอยู่อีกแบบหนึ่ง แต่คุณอยู่อีกแบบหนึ่ง มันก็ฝืนตัวมันเองอยู่ร่ำไป เอาทุกคนมานั่งคุยกันก่อน เรียงลำดับปัญหาแต่ละย่าน

⦁ เรื่องหมอชิต 2 ประชาชนร้องเรียนมา หรือเราเห็นอะไรถึงไปอยู่ตรงนั้นได้?

เริ่มตั้งจากทีมงานผมเขาเป็นคนที่ใช้มาตั้งแต่สมัยก่อน บอกว่ายังไม่ได้รับการแก้ไข ผมไปสำรวจกันก็เจอ เออ! ไม่ได้แก้จริงๆ เอาเขาสภาไปหารือ แต่ประเด็นคือผ่านไป 2 เดือนยังไม่เกิดอะไรขึ้นเลย เขารับเรื่องยังว่ะเนี่ย (คิ้วขมวด) พอเช็กสถานะหนังสือของสภา ยังไม่แก้ เลยส่งหนังสือ
ส่วนตัวไปที่รัฐมนตรี ผ่านไปอีกเดือนยังไม่แก้อีก เอ้า! ถึงเวลาละ เพราะมันใกล้ช่วงเทศกาลแล้ว เราใช้เวลามานานระดับหนึ่ง ตามมาเรื่อยๆ 3 เดือนแล้ว สภาพพื้นที่รกร้างไม่มีใครสนใจ ไฟก็ไม่ค่อยเปิด เจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยมีการบริหารจัดการ ชานชาลาก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ป้าย วิน แท็กซี่เถื่อน มีครบ ทุกวันนี้ก็ยังมีนะ ผมเดินๆ ไปเนี่ย

⦁ เหมือนรัฐบาลจะย้ายเลยไม่ได้ปรับปรุง ส่วนตัวว่าควรย้ายไหม?

เอาจริงๆ ตามหลักแล้ว ถ้าเกิดอยากทำ TOD ทุกอย่างเป็น ‘Hub of transport ของบางซื่อ’ แน่นอนว่ามันก็ควรไปรวมกัน เพราะทุกวันนี้ก่อนรถ บขส.จะมาถึง เขาก็ผ่านสถานีกลางบางซื่อ ขณะเดียวกันตอนนี้มี บขส.มาฟีด ก็พยายามจะฟีดกลับไปที่บางซื่อและสายสีเขียว ถ้ารวมกันได้ก็ดี แต่สายสีแดง ปัญหาคือมันเป็นฮับของคนกรุงเทพฯ ‘ออกชานเมือง’ แต่พอเข้ามา เปลี่ยนสายทันทีไม่ได้ ถ้าจากแดงไปสายสีเขียว ต้องผ่านสายสีน้ำเงิน MRT กำแพงเพชรก่อน เท่ากับคุณเดินหลายต่อ ถ้าจะทำได้ฟังก์ชั่น ‘ตั๋วร่วม’ ต้องมา ไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้อยู่ ถ้ารัฐมนตรีบอกอยากย้ายมา ทำได้ผมไม่ติด แต่คุณต้องเข้าใจบริบทของคนด้วย ไม่ใช่อยู่กับแค่สายสีแดงแล้วรอด ต้องมาใช้สายสีเขียวเพราะเป็นแกน

⦁ แต่ในใจก็อยากให้เหมือนต่างประเทศ ที่ตั๋วเดียวไปไหนได้ทั่วหมดแล้ว?

เขาไปได้ทั่ว สุดท้ายคุณต้องดูว่าตัวไหนเป็นแกนหลักที่คนใช้เยอะที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าสายสีเขียว 900,000 กว่าคน แน่นอนว่าระบบตั๋วร่วมต้องมา ค่าใช้จ่ายทุกวันนี้ถ้าทุกคนเดินทางบีทีเอส เอ็มอาร์ที รวมกันก็เป็น 100 ต่อขานะ บางที่ต้องเปลี่ยนสาย บ้านไกล

⦁ กทม.ผลักดันโครงการเดินได้เดินดี น่าจะช่วยให้ดีขึ้นไหม?

ฟุตบงฟุตปาธ เป็นไปไม่ได้เลย ถ้ายังไม่จัดการระบบขนส่งมวลชนให้มันจบจริงๆ นะ อย่างสมมุติรถเมล์ถ้าขาดทุนทำไมรัฐไม่ซับซิไดซ์รถเมล์หมื่นคัน นโยบายชิคๆ หน่อย ถนนทุกเส้นต้องมีรถเมล์ อย่างน้อยเอาให้มันชัดเจนเลย หรือซับซิไดซ์ระบบตั๋วใยแมงมุม ตั๋วร่วมทั้งหลาย ทำไปเลย รถเมล์ เรือ รางทั้งหลาย เอาให้มันครบลูป ถ้าเกิดคุณทำอะไรสักอย่างหนึ่งได้ปุ๊บ รถมันจะลดน้อยลงไปเอง แต่อีกมายด์เซตหนึ่งคือเขาอาจจะอยากได้ภาษีจากรถที่คุณซื้อ (หัวเราะ) คนไทยซื้อรถ รายได้ภาษีหายไปเพียบนะ ก็เป็นไปได้ว่ากึ่งๆ อย่างนี้อยู่รัฐมีได้เยอะกว่า ถ้าทำให้เต็มๆ คิดดูคุณเดินได้ ขึ้นขนส่งมวลชนได้ รัฐบาลต้องซับซิไดซ์เรื่อยๆ โอกาสกำไรยากนะ แล้วเอาแหล่งเงินมาจากไหน คุณก็ต้องไปเก็บจากภาษีธุรกิจ พาณิชย์ทั้งหลาย ถ้าเกิดเมืองมันเดินได้ปุ๊บห้างร้านก็มี อาจจะเกิดอะไรขึ้นมา มีการลงทุนมีอะไรมากขึ้น เมืองน่าอยู่มากขึ้น ต้องมองว่าถ้าเมืองเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง คุณจะไปหารายได้จากไหนในอีกช่องทางหนึ่ง ผมว่ามันต้องมีวิชั่นแพลนใหญ่และแพลนย่อย แต่ทุกวันนี้ผมมองไม่เห็นว่า วิชั่นของกรุงเทพฯคืออะไร

⦁ บางเรื่องรัฐก็ต้องซัพพอร์ตด้วย?

รัฐต้องซัพพอร์ต ในขณะที่บางอย่างเป็นเรื่องของดาต้าล้วนๆ อย่าง ประชากรแฝง ทุกวันนี้รัฐไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ไหน แต่ที่อังกฤษเขารู้นะ ใครปล่อยบ้าน จะมีการเก็บภาษีทันที เขามีการบันทึกหมดเลย แล้วแต่ละคนไปทำงานที่ไหน จะรู้ว่าคนนี้อยู่เมืองนี้ แต่จริงๆ ไปเรียนอีกที่ เดินทางไกล รัฐจะรู้ว่าเส้นทางแต่ละคนเกิดอะไรขึ้น และตามได้ มันเป็นโลกของดาต้า คุณจัดระเบียบ ดึงมาดีๆ ใช้ประโยชน์ได้

⦁ โลกดาต้า ฐานข้อมูลต้องเป๊ะก่อน ถึงจะพัฒนาได้ถูกจุด?

ใช่ ทุกวันนี้ผังเมืองใช้ประชากรในปี 2563 อยู่เลยมั้ง (ยิ้ม) เป็นยุคก่อนโควิดด้วยซ้ำ.