ทำไมอาการ “นะจังงัง” จึงบังเกิดขึ้นเมื่อเห็นคะแนน”ความโปร่งใส” อันประกาศมาจากกรุงเบอร์ลิน เยอรมนี
ท่ามกลางบทเพลง “เสียงแห่งความเงียบ”
เป็น “ความเงียบ” อันมาจาก “องค์การ” ซึ่งต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นภายในประเทศไทย
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เคย “คึกคัก” อย่างยิ่ง
คึกคักกับคะแนนอันรายงานจาก “องค์การความโปร่งใสระ หว่างประเทศ”
ตั้งแต่”ก่อน”รัฐประหารเดือนกันยายน 2549
ต่อเนื่องมากระทั่งบรรยากาศ “ก่อน” รัฐประหารเดือนพฤษ ภาคม 2557
เป็น “เครื่องมือ”ยอดเยี่ยมในการ”ปลุกระดม”
แต่พอเห็น “รายงาน”ล่าสุดอันมาจาก”องค์การความโปร่งใสระหว่างประเทศ” อาการ”นะจังงัง”ก็บังเกิด
เพราะเป็นรายงาน”ประจำปี 2016″
ค.ศ.2016 หากนำเอา 543 มาบวกก็จะกลายเป็น 2559 อันยืนยันถึงปีในทาง “พุทธศักราช”
มิได้เป็นปี 2544-2549 อันเป็นรัฐบาล”ไทยรักไทย”
มิได้เป็นปี 2550-2551 อันเป็นรัฐบาล”พลังประชาชน”
และมิได้เป็นปี 2554-2557 อันเป็นรัฐบาล “เพื่อไทย”ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ความเป็นจริงนี้ต่างหากที่ “เหลือเชื่อ”
เหลือเชื่อเพราะว่ารัฐบาลนับแต่รัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
ประกาศสัประยุทธ์กับ “ทุจริต คอรัปชั่น”
เห็นได้จากการรุกไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เพียงแต่ด้วยการ”ถอดถอน” หากแต่ยังรุกคืบไปยัง “การยึดทรัพย์”
แล้วเหตุใดคะแนน”ความโปร่งใส”จึง “สอบตก”
คะแนนจากรายงานประจำปี 2016 โดย”องค์การความโปร่งใสระ หว่างประเทศ”ขยายกรอบแห่ง”ความเข้าใจ”
ในเรื่องเกี่ยวกับ “ความโปร่งใส”
เดิมทีคิดกันว่าจำกัดอยู่แต่ในพรมแดนที่น่าสงสัยในเรื่องของ ทุจริต คอรัปชั่น
แต่ลืมคิดถึงในเรื่อง “การใช้อำนาจ”
พลันที่เห็นรายงานเน้นในกรณีลิดรอนเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนในห้วงแห่ง “ประชามติ”
ก็เริ่มถึง “บางอ้อ”
ทุจริต คอรัปชั่นมิใช่ในเรื่องของ”โครงการ”อันเกี่ยวกับเงินเท่านั้น หากแต่ยังกินความไปถึง การทุจริตในเรื่องการบริหารและการใช้อำนาจ
ท่วงทำนอง”เผด็จการ”จึงกลายเป็น”ทุจริต”อย่างหนึ่ง
เป็นการทุจริตในเรื่องของ “อำนาจ” เป็นความไม่โปร่งใสในทาง “ความคิด”