สภาฯถกญัตติด่วนการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ ซัดรัฐบาลทำงานล่าช้า “เอกนัฏ” รู้สึกรังเกียจพฤติกรรมไม่อยากให้เกิดแฟชั่นบ่อนทอนสถาบัน ด้าน “จุรินทร์ “ เสนอ 4 ข้อ ให้รบ.พิจารณา ย้ำนิรโทษกรรมต้องไม่มีคดี 112
เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังเข้าสู่วาระการประชุม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาจำนวน 2 ญัตติ เรื่องการขอให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบ แผนและมาตรการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสมทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนเพื่อเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ และรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ
โดย นายเอกนัฏ กล่าวว่า เนื่องจากเหตุการณ์รบกวนก่อกวนขบวนเสด็จ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หากไม่มีการจัดการเร่งด่วน จะทำให้เหตุการณ์บานปลายกระทบศีลธรรม และความมั่นคงประเทศ คลิปที่เผยแพร่ทำให้ตกใจ เพราะชัดเจนว่า ขบวนเสด็จเป็นขบวนสั้นมาก ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ไม่มีการปิดถนนให้กระทบการสัญจร แค่ไปเป็นจังหวะ เป็นช่วงตอน แต่มีรถของผู้ก่อเหตุวิ่งไล่ขบวนเสด็จหลังขบวนเสด็จผ่านไปแล้ว เชื่อว่า ความรู้สึกของตนเหมือนกับประชาชนหลายคนในประเทศ รู้สึกโกรธมาก รังเกียจพฤติกรรมที่เกิดขึ้น สิ่งที่คาดหวังคือ เหตุการณ์วันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ไม่มีท่าทีชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ ซ้ำผู้ก่อเหตุยังเหิมเกริมไปทำโพลที่สยาม จนเกิดเหตุปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ดังนั้น จึงต้องเร่งรัดการปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้สถานการณ์บานปลายดังนี้ 1.ให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทันที การเรียกร้องไม่ใช่การล่าแม่มด ใช้ศาลเตี้ยวินิจฉัย แต่เพื่อความสงบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ต้องเร่งบังคับใช้กฎหมาย การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบต้องไม่ละเมิดหรือทำผิดกฎหมาย และ 2. การใช้พื้นที่ในสภาฯให้มีข้อสรุปการทบทวนระเบียบมาตรการต่างๆ และ แผนการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ แม้ปัจจุบันพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัยจะมีความชัดเจน แต่เนื่องจากเป็นภารกิจที่มีความสำคัญ ทำให้กังวล ถ้าไม่ทบทวนมาตรการให้เข้มงวด จะเกิดแฟชั่น ค่านิยมใหม่ ถ้าสถานการณ์บานปลายมากกว่านี้ อาจเกิดอุบัติเหตุเหมือนที่เกิดขึ้นกับเจ้าหญิงไดอาน่าได้
นายเอกนัฏ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นเข้าใจว่า อาจมีความเชื่อมโยงไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้เจ้าหน้าที่กังวลใจ ถ้าปฏิบัติเข้มงวดไป จะมีกระแสวิจารณ์หรือไม่ แต่อยากให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด ไม่ต้องรอเวลาหลายวัน จนผู้ก่อเหตุไปท้าท้ายทำโพลซ้ำ ดูแล้วช้าไป สิ่งที่กังวลคือ ระเบียบและแผนที่จะออกตามมากับพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ.2560 จะต้องปรับเปลี่ยน เพราะเป็นระเบียบและแผนเดิมที่ใช้ปี 2548 ยังไม่ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์
รวมถึงต้องมีการฝึกซ้อมให้พร้อมด้วย เท่าที่ดูคลิปตอนเกิดเหตุ ก็ไม่อยากวิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่ เพราะมีแผนไม่ชัดเจนในการปฏิบัติหน้าที่ ภารกิจถวายความปลอดภัยไม่มีที่ใดในโลกที่ จะไม่ส่งผลต่อประชาชนเลย แต่ต้องประชาสัมพันธ์กับประชาชนว่า การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ จะมีผลกระทบอะไรบ้าง ประชาชนต้องทำตัวอย่างไร เชื่อว่าประชาชนพร้อมให้ความร่วมมือ ช่วยเป็นหูตาไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขอย้ำว่า ส.ส.รวมไทยสรางชาติ อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากให้มีค่านิยมที่เป็นแฟชั่นไปบั่นทอนสถาบันหลักประเทศ ขอให้มีการทบทวนมาตรการดูแลขบวนเสด็จให้เข้มงวด เหมาะสม
ด้าน นายจุรินทร์ เสนอเหตุผล ในญัตติเรื่องการถวายความปลอดภัย ว่า ตนและพรรคประชาธฑิปัตย์มีจุดยืนชัดเจน 1.ในเรื่องของการให้ความสำคัญกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.มีจุดยื่นยืนในการที่ต้องการธำรงไว้ ซึ่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการคุมครองประมุขของประเทศ เช่น มาตรา 112 และ 3.พวกตนเห็นว่า การถวายความปลอดภัยเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งการถวายความปลอดภัยนับตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระราชอาคันตุกะ ซึ่งการถวายความปลอดภัยกับบุคคลเหล่านี้ถือว่ามีคึวามสำคัญอย่างยิ่ง และเมื่อเกิดเหตุการคุกคามขบวนเสด็จสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพฯ อันเป็นที่เคารพสักการะยิ่งของคนไทยทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พวกตนจึงจำเป็นต้องเสนอญัตติและมิอาจเพิกเฉยกับการระทำดังกล่าวได้
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนมีความเห็น 4 ประการคือ 1.ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง และถือว่าการกระทำที่เกินกว่าที่คนไทยผู้จงรักภักดีทั้งประเทศจะยอมรับได้ เป็นการย้ำยีพระผู้ทรงเป็นหัวใจของประชาชน 2.การที่ขบวนเสด็จไม่ปิดถนน ยิ่งสะท้อนพระมหากรุณาธิคุณต่อพระสกนิกรโดยชัดแจ้งเป็นที่ประจักษ์เหนือคำบรรยายใดๆ 3.ตนเห็นว่าสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยคือหัวใจสำคัญของประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่การใช้สิทธิเสรีภาพต้องไม่เป็นการล้วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ฐานันดรใด และต้องใช้สิทธิเสรีภาพที่มีอยู่นั้นภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
และ 4.ผู้ที่มีหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยนอกจากส่วนราชการในพระองค์แล้ว กลไกลสำคัญคือรัฐบาล ที่มีพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ.2560 ระบุไว้ชัดในมาตรา 6 ว่าให้หน่วยงานรัฐทุกแห่ง มีหน้าที่ในการถวายความปลอดภัยหรือร่วมมือในการถวายความปลอดภัย ซึ่งตนไม่ประสงค์จะทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องการเมือง แต่นายกฯ ในฐานหัวหน้ารัฐบาล และในฐานะผู้ส่งปฏิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ต้องยอมรับว่านายกฯออกมาส่งสัญญาณ แสดงท่าทีความรับผิดชอบช้าจริงๆ เพราะหลังเกิดเหตุป่วนขบวนเสร็จ 7-8 วัน นายกฯจึงส่งสัญญาณเรียก ผบ.ตร.เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องมาหารือมาตรการรักษาความปลอดภัยขบวนเสด็จ
“ผมขอเสนอข้อเสนอ 4 ข้อเพื่อให้สภาฯได้พิจารณา คือ 1.รัฐบาลต้องตระหนักในหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามกฎหมาย รวมทั้งให้เป็นไปด้วยความปลอดภัยสมพระเกียรติด้วยความสำนึกกระตือรือร้นจงรักภักดี และควรเร่งรัดดำเนินการมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาอีก 2.ให้รัฐบาลยึดหลักนิติธรรม บังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด ไมว่ากับฝ่ายใด เพื่อทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และไม่เป็นการส่งเสริมการกระทำผิดอีกต่อไปในอนาคต 3.ในฐานะที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากทั้งในสภาฯ และในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม รัฐบาลต้องไม่สนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมความผิดในคดีมาตรา 112 เพราะนอกจากจะเป็นฉนวนขัดแย้งรอบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยังเท่ากับส่งเสริมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 112 เพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุป่วนขบวนเสด็จยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าไม่สมควรส่งเสริมให้มีการนิรโทษรกรรมความผิดตามาตรา 112 และ 4. รัฐบาลควรตั้งหลักพิจารณาร่วมกับฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องและพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบครอบรอบด้าน ว่าสมควรที่จะมีการปรับปรุง พ.ร.บ.ถวายความปลอดภัย พ.ศ.2560 หรือไม่ โดยเพิ่มเติมให้มีการกำหนดบทลงโทษเป็นการเฉพาะ กับผู้ละเมิดพ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมทั้งการพิจารณาว่าจำเป็นต้องทบทวนกฎระเบียบ มาตรการต่างๆ เพิ่มเติมอีกด้วยหรือไม่ ดังนั้นขอให้สภาฯได้มีมติให้ส่งความเห็นเพื่อให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการ และมีความประสงค์ให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาฯ รับไปประกอบการพิจารณา” นายจุรินทร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาฯในวันนี้สส.ส่วนใหญ่ติดริบบิ้นสีม่วง และบางคนผูกไทด์สีม่วงด้วย