นายกฯ ตรวจติดตามศูนย์การส่งออก One Stop Service ขอทุกกระทรวงร่วมมือกันดึงนักลงทุน นำพา “นครพนม” จากเมืองรองให้เป็นเมืองหลัก ย้ำลงพื้นที่เพื่อทำงานจริงจัง ไม่อยากให้จุดพลุแล้วหายไป บอกเคยเป็นพื้นที่สู้รบคอมมิวนิสต์ วันนี้เป็นพื้นที่สันติภาพ อยากให้คนไทยนำบทเรียนนี้มาประคับประคองรักษาสันติภาพ ความสงบสุข
เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ เดินทางมายังด่านศุลกากรจังหวัดนครพนม สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม เพื่อติดตามสถานการณ์การส่งออกและพื้นที่ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) โดยจะมีการติดตามและพิจารณาในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของด่านศุลกากรฯ และการพัฒนาพื้นที่
ทั้งนี้ ได้มีการรายงานข้อมูลเรื่องสินค้านำเข้า 5 อันดับแรก คือ โซลาร์เซลล์ พลังงานไฟฟ้า ปูนซีเมนต์ ปุ๋ย และรายงาน ข้อมูลการส่งออกในปี 2565 ยอดการส่งออกลดลง เนื่องจากคาดเกี่ยวกับช่วงโควิด และในปี 2566 ยอดการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น เพราะด่านที่จีนเปิดซึ่งจะมีการส่งผลไม้เป็นหลัก รองลงมาเป็น เครื่องดื่มชูกำลัง อย่างไรก็ตาม ในระยะ 4 เดือนที่ผ่านมา ยอดนำเข้าลดลงเนื่องจากการนำเข้าไปใช้ด่านอื่นแทนเช่น หนองคายและเชียงของ แต่เมื่อรวมทุกด่านตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่ด่านศุลกากรที่จังหวัดนครพนม ตู้ที่ส่งออกกลับมาตู้เปล่า
นากยรัฐมนตรีจึงตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นตู้เปล่าแล้วมีวิธีแก้ไขหรือไม่
ด้านตัวแทนด่านศุลกากร ชี้แจงว่าทางแก้คือให้ผู้ประกอบการหาสินค้ากลับเข้ามา จากนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงกล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการ ช่วยผู้ประกอบการในการหาสินค้า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ก็ต้องดูความคุ้มค่าด้วย
ส่วนการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม นายกรัฐมนตรีได้แนะนำว่า ปัญหาใหญ่ของประเทศขณะนี้อยู่ที่การลงทุน และอยากให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม บูรณาการร่วมกันเพื่อดึงนักลงทุนเข้ามา ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถ้าไม่มีคนมาลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ซึ่งในบริเวณพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษยังมีปัญหาเรื่องของ สัญญาเช่าจากผู้รับเหมาที่มีเพียงเจ้าเดียว และมีการขอขยายสัญญาเนื่องจาก ปัญหาโควิดในช่วงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจึงแนะนำว่า ไม่ควรเป็นบริษัทเดียวตั้งแต่แรก และถ้าทำไม่ได้ก็ยกเลิกสัญญา
ด้าน นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวชี้แจงว่า ถ้าจะยกเลิกควรยกเลิกเป็นเฟส ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหา
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่ง ว่าตนเคยมาที่นี่แล้วตั้งแต่ก่อนเป็นรัฐบาล ซึ่งก่อนจะลงพื้นที่ก็เตรียมตัวมาพอสมควรเหมือนกัน เพราะ จังหวัดนครพนม เป็นเมืองรองจะพยายามผลักดันให้เป็นเมืองหลัก หากดูประวัติศาสตร์ที่มีมายาวนานของนครพนมเคยเป็นพื้นที่รบของคอมมิวนิสต์มาก่อน เพราะฉะนั้นจังหวัดนครพนมในอดีตคือพื้นที่สู้รบปัจจุบันคือพื้นที่สันติภาพ อยากให้คนไทยนำบทเรียนนี้มาประคับประคองรักษาสันติภาพ ความสงบสุข และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่พื้นฐาน หรือเรื่องเศรษฐกิจ
“วันนี้อยากให้ทุกคนใส่ใจและนึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรามีความเจริญอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะสันติสุข ปัญหาเรื่องสันติภาพปัจจุบันคนไทยถือว่าเป็นของตายมาแล้ว แต่หากไม่มีความสันติภาพ การค้าการลงทุนก็จะไม่เกิดขึ้น”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนเรื่องการค้าการลงทุนมันคือปัญหาแต่ต้นก็ไม่อยากใช้คำว่า ปัญหาขอใช้คำว่าโอกาสที่จะทำให้นครพนมจากเมืองรองชั้นนำเป็นเมืองหลักให้ได้
“สำหรับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของด่านหรือถนนชำรุด ซึ่งต้องใช้งบประมาณ ส่วนตัวมองว่าการใช้งบประมาณไม่ใช่ปัญหา แต่จังหวัดเองก็ต้องช่วยตัวเองได้ เพราะจะต้องมีการแข่งขันกับจังหวัดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสกลนคร หนองคาย และมุกดาหาร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้พูดแซวนางมนพรในห้องประชุม ว่าในพื้นที่จังหวัดนครพนมมีทั้งรัฐมนตรีและ ส.ส. การพัฒนาจะมีความลำเอียงอยู่แล้ว จึงอยากเตือนสติว่าจะต้องพัฒนาให้ครอบคลุมทุกมิติ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนเรื่องของการลงทุนรถไฟความเร็วสูงรถไฟรางคู่ ศูนย์การเปลี่ยนถ่ายสินค้าเป็นเรื่องที่ดีที่จะต้องทำ เพราะจะช่วยอำนวยความสะดวกโดยเฉพาะเรื่องเวลา ทั้งนี้ ได้ลงพื้นที่มาที่จังหวัดนครพนมหลายครั้ง อยากสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะพัฒนาพื้นที่จริงจัง ไม่อยากให้เป็นการจุดพลุ แล้วหายไป จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันพัฒนาพื้น
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้โพสต์ข้อความว่า ”ผมอยากเห็นเศรษฐกิจภาคอีสานเติบโตครับ การมารับฟังพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ด่านศุลกากรนครพนมวันนี้ ผมเห็นว่าเรายังต้องพัฒนาอีกมาก ตั้งแต่การส่งออกผลไม้จากนครพนมไปจีนมีจำนวนลดลง เพราะผู้ประกอบการไปเลือกส่งออกที่หนองคาย และเชียงของแทน เนื่องจากขากลับ ไม่มีผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์เย็น ผมจึงได้ให้กระทรวงพาณิชย์ลองไปหารือกับผู้ประกอบการเพื่อหาแนวทางในการเพิ่มการส่งออกผ่านด่านนี้
เขตเศรษฐกิจพิเศษ SEZ นครพนม หัวใจหลักคือต้องไดรฟ์ให้เกิดการลงทุนทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ ให้ถึง 1,700 ล้านบาท เพราะเรื่องนี้เป็นบริบทใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จะสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น ต้องลงทุนแล้วเกิด business volume จริงจึงจะคุ้มค่ากับโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่ต้องลงทุนในอนาคต
การเร่งปรับปรุงถนนให้อยู่ในสภาพดี พร้อมพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อเส้นทางใหม่และเส้นเลี่ยงเมืองครับ”