เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกม.พิเศษ เสนอนิรโทษฯผู้กระทำผิดจากเหตุขัดแย้งในจว.ใต้

‘เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ’ ยื่นเสนอ ‘จาตุรนต์-ชัยธวัช-พรรคประชาชาติ’ พิจารณานิรโทษกรรมผู้กระทำผิดจากความขัดแย้งทางการเมืองใน จว.ชายแดนใต้ หวัง ลดความขัดแย้ง-ความรุนแรงในพื้นที่-เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กระบวนการสันติภาพ

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD ยื่นข้อเสนอแนะนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดจากความขัดแย้งทางการเมืองในจังหวัดชายแดนใต้ ต่อ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD กล่าวถึงการพิจารณาความขัดแย้งที่รุนแรงในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ ที่ได้ปะทุขึ้นเมื่อปี 2547 และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 20 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2547-2567 มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 21,328 เหตุการณ์ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตทั้งหมด 7,314 ราย บาดเจ็บ 13,584 ราย รวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต 20,898 ราย

สถิติเหล่านี้ นับว่าเป็นการสูญเสียจากเหตุความขัดแย้งรุนแรงสูงที่สุดในประเทศไทย แม้ในระยะหลังจากที่มีการตั้งโต๊ะพูดคุยสันติสุข หรือเจรจาสันติภาพ และข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ดูเหมือนว่าเริ่มลดลง แต่ปัญหาก็ยังไม่หายไปสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้จากความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในขณะที่มีการพูดคุยสันติสุข หรือเจรจาสันติภาพระหว่างตัวแทนฝ่ายไทย กับขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี หรือ BRN การปิดล้อมตรวจค้นจนเกิดการปะทะโดยเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมถือว่าเป็นการใช้ความรุนแรงที่อยู่นอกกระบวนการยุติธรรม ทำให้เกิดการสูญเสียนับตั้งแต่ปี 2563-2566 เกิดเหตุการณ์ปิดล้อมปะทะ เกิดการใช้ความรุนแรงที่อยู่นอกกระบวนการยุติธรรม จนเกิดการเสียชีวิตจำนวน 29 ครั้ง เจ้าหน้าที่เสียชีวิตขณะปะทะ 5 นาย บาดเจ็บขณะปะทะ 17 นาย ฝ่ายที่ติดอาวุธต่อสู้กับรัฐเสียชีวิต 58 ราย

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ภายใต้โครงสร้างตามระบบกฎหมายปกติและตามรัฐธรรมนูญ นอกจากไม่สามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ที่ดำรงอยู่ได้ ผู้ที่แสดงออกซึ่งความคิดความเห็น เพื่อให้ปรับปรุงเปลี่ยนโครงสร้างในทางการเมืองให้เหมาะสมกับลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์ ศาสนาและวัฒนธรรม อันเป็นอัตลักษณ์ของประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก ยังถูกดำเนินคดีอีกด้วย

จากข้อมูลข้างต้น กลับสวนทางกับเนื้อหาที่กำลังดำเนินการในกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่มีข้อเสนอในเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับข้อเสนอ 3 สารัตถะของกระบวนการพูดคุยประเด็นที่เกี่ยวกับการลดความรุนแรง การแสวงหาทางออกทางการเมือง และการปรึกษาหารือสาธารณะ ยังคงมาตรการปิดล้อมตรวจค้นการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงทั้ง 3 ฉบับ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการยุติบทบาทของนักเคลื่อนไหว หรือนักกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่ เช่น กรณีการรวมตัวแต่งกายชุดมลายูเมื่อปี 2565 การระดมทุนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงที่อยู่นอกกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น

Advertisement

เงื่อนไขเหล่านี้ เป็นการเริ่มดีกรีของความขัดแย้งให้ยิ่งร้อนแรงขึ้นในพื้นที่ สถานการณ์และความสูญเสียดังกล่าวข้างต้น เป็นบทเรียนที่สำคัญที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยต้องทบทวนการออกนโยบาย การใช้งบประมาณภาษีของประชาชน เพื่อการแก้ไขปัญหาทางการเมืองในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้

จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดปี 2566 ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลดูมีความหวังในความเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น กระแสนิรโทษกรรมผู้ร่วมชุมนุมที่มีต้นเหตุจากการเมือง การเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง และนักเคลื่อนไหวเริ่มขยับยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมผ่านกลไกรัฐสภา หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรมีความเห็นชอบตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุม คดีทางการเมืองนับว่าเป็นการเปิดประเด็นการถกเถียงที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนการเมืองที่เกิดจากความชิงชัง ไม่เข้าใจกัน เป็นจุดเริ่มต้นสร้างบรรยากาศทางการเมืองด้วยความปรารถนาดี

แต่เมื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับต่างๆ รวมทั้ง ฉบับที่ยื่นโดยพรรคก้าวไกล และร่างฉบับประชาชน มีการกำหนดเหตุและวันเวลาของผู้จะได้รับการนิรโทษกรรม เฉพาะจากการเข้าร่วมเดินขบวนและชุมชนประท้วงทางการเมือง ที่เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 จนถึงวันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ ตามความเข้าใจของอดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองปาตานี/ชายแดนใต้ (คดีความมั่นคง) นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักกิจกรรมภาคประชาชน นักกฎหมายในพื้นที่ ถึงกรณีคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไม่ได้รวมเข้าไปในหลักเกณฑ์ในการที่จะได้รับพิจารณานิรโทษกรรม จึงได้มีพบปะเพื่อรับฟังความคิดเห็น และจัดทำข้อเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม รัฐบาล พรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับต่างๆ รวมทั้งฉบับของพรรคก้าวไกล และฉบับประชาชน

ทั้งนี้ เพื่อลดความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กระบวนการสันติภาพ ดังนี้ 1.การนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำผิดเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง จะต้องรวมถึงความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้นับตั้งแต่กรณีปล้นปืนค่ายปิเหล็ง จังหวัดนราธิวาส ในปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา จนถึงวันที่พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมมีผลบังคับ

2.คดีที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองในจังหวัดชายแดนใต้ ที่ควรได้รับการนิรโทษกรรม รวมทั้ง

2.1 คดีผู้ที่กระทำผิดฐานฝ่าฝืนหรือถูกควบคุมตัวตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457

2.2 คดีที่ผู้กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนหรือถูกควบคุมตัวหรือมีหมายจับตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

2.3 ผู้กระทำผิดฐานฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551

2.4 คดีผู้กระทำผิดในข้อหาต่างๆเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกในทางการเมือง ทางวัฒนธรรม โดยการกระทำหรือความคิดเห็นลักษณะ วิธีการและช่องทางการสื่อสารต่างๆ รวมการรวมตัวกันสวมชุดมลายูของเยาวชนมลายูในพื้นที่เมื่อปี 2565 เป็นต้น

2.5 คดีพิจารณาและตัดสินโดยศาลทหาร ซึ่งจำเลยในคดีไม่ได้รับสิทธิและการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (Fair Trail)

2.6 คดีที่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาหรือดำเนินคดีในข้อหาความผิดอื่นๆ เนื่องจากมูลเหตุความขัดแย้งทางการเมืองในจังหวัดชายแดนใต้เช่น ข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นสมาชิกหรือเกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน กบฏ ก่อความไม่สงบ ยกเว้นข้อหาที่เกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ฆ่า ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์และความรุนแรงอื่นๆ ทางกายภาพ

3.ในระหว่างที่การนิรโทษกรรมอยู่ระหว่างการพิจารณาและยังไม่มีผลบังคับ

3.1 รัฐบาลควรกำหนดมาตรการเพื่อยุติหรือชะลอการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยในความผิดดังกล่าวข้างต้นไปก่อน

3.2 รัฐบาลควรยุติการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลตามกฎหมายพิเศษทุกกรณี จึงจำเป็นต้องหยิบยกกรณีความขัดแย้งในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ คดีการเมืองปาตานี/ชายแดนใต้ หรือที่ถูกเรียกว่าคดีความมั่นคง ให้ได้รับการพิจารณาวินิจฉัยการกระทำความผิดเพื่อรับการนิรโทษกรรม เพื่อผลักดันให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้า และเกิดสันติภาพที่ยั่งยืนต่อไป

ในเวลา 14.30 น. เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD ได้ยื่นข้อเสนอแนะต่อนายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม

โดยนายชัยธวัชกล่าวว่า ยินดีรับข้อเสนอนี้ไปหารือกันใน กมธ.ส่วนตัวที่เคยได้แลกเปลี่ยนกับฝ่ายความมั่นคงบางคน ถึงเรื่องการนิรโทษกรรม ก็มีคำถามว่า จะรวมถึงคดีในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ ซึ่งตนได้แสดงความคิดเห็นไปว่า จริงๆ แล้ว มีคดีบางส่วนที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการคลี่คลายสถานการณ์ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่น่าจะนำมารวมพิจารณาได้ แต่ใน กมธ. ยังไม่มีการคุยกันเรื่องนี้ เนื่องจากเพิ่งประชุมไปได้แค่ 2 ครั้ง โดยในวันที่ 22 ก.พ.ที่จะถึงนี้ จะมีการพูดคุยเรื่องหลักการและแนวคิดพื้นฐานในการนิรโทษกรรม เพื่อออกแบบรายละเอียด และตนจะนำข้อเสนอนี้เข้าไปพิจารณาด้วย โดยคาดว่า น่าจะมีหลายคดีที่จะนำมาพิจารณาได้ ทั้งคดีที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 2 ครั้ง ที่มีการขึ้นศาลทหาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมือง คดีที่ถูกดำเนินการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หรือแม้แต่กฎอัยการศึก รวมถึงใช้กลไกลของกระบวนการสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้ พิจารณาควบคู่กันไป

นอกจากนี้ เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD ยังได้ยื่นข้อเสนอแนะต่อพรรคประชาชาติด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image