‘ภูมิธรรม’ ชี้ นำประเทศออกนอกหนทางปชต.มีแต่จะทำประเทศสู่ทางตัน

“ภูมิธรรม” ตั้งข้อสังเกตปมความเห็นครม.ต่อร่างรธน. 4 ข้อ ชี้ มีปัญหา-ถูกปฏิเสธจากทุกด้าน

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ข้อคิดเห็นบางประการที่มีต่อข้อเสนอแนะของครม. เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญ ตนมีข้อสังเกตบางประการ ดังนี้ 1.อย่างน้อยที่สุด ถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจ ที่ผู้มีอำนาจแสดงการยอมรับและเข้าใจในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้จัดทำขึ้น มีปัญหา และได้รับการปฏิเสธจากกลุ่มคนวิชาชีพต่างๆ อย่างกว้างขวาง เกือบทุกด้าน และได้แสดงความห่วงใยชัดเจนว่า ร่างรัฐธรรมนูญแบบนี้ จะไม่ได้รับการยอมรับ และอาจจะไม่ผ่านประชามติ และไม่อาจสร้างความเข้าใจกับนานาชาติที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยได้ 2.ข้อเสนอในรายละเอียดเกี่ยวกับ มาตรา 139 วรรค 2 ที่ห้าม ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการ (กรธ.) งบประมาณนั้น รวมทั้งมาตราอื่นๆ อีกมาก ถือว่ายอมรับว่า ร่างรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆ ดังกล่าว มีเนื้อหาสาระที่ขาดความชัดเจนและส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาประเทศ ทำให้ไม่สามารถดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะบริหารประเทศด้วยความยากลำบาก หรืออาจบริหารไม่ได้เลย

นายภูมิธรรม กล่าวว่า 3.การที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มอบอำนาจพิเศษให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีอำนาจมากเป็นที่สุด และส่งผลกระทบกับระบบการบริหารประเทศ และตัวแทนอำนาจอธิปไตยของประชาชนชาวไทย สะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจได้เห็นถึงปฏิกิริยาของการคัดค้านและมองเห็นถึงความผิดพลาดในอดีตที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้เคยกระทำเรื่องผิดพลาดมาแล้วในการใช้ดุลยพินิจตัดสินบางคดีคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการต่ออายุของตุลาการในศาลรัฐธรรมนูญ ที่ต่ออายุให้ยืดยาวออกไป ซึ่งหากไม่ทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดความเข้าใจว่า ต้องการที่จะสืบทอดอำนาจต่อไป ดังนั้นการที่ผู้มีอำนาจมีข้อเสนอให้ยึดถือโร้ดแม๊พให้เคร่งครัด จะเป็นผลดีต่ออนาคตของประเทศโดยรวม มากกว่าการยืดโร้ดแม๊พออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า 4.สุดท้ายประเด็นสำคัญ ที่ผู้มีอำนาจเสนอต่อ กรธ.เรื่องประชาธิปไตยครึ่งใบนั้น ตนเห็นว่าปัจจุบันคนส่วนใหญ่และฝ่ายที่ยึดมั่นในประชาธิปไตยทุกคน มีความไม่ไว้วางใจและไม่แน่ใจในระบบและตัวบุคคลที่จะเกิดขึ้นจากระบบและกลไกที่ กรธ.ได้ออกแบบไว้ ในความเป็นจริง ระบอบประชาธิปไตยไม่เคยพบทางตัน และไม่เคยวิกฤตจนไม่มีทางออก ระบอบประชาธิปไตยมีกระบวนการคลี่คลายวิกฤตทางการเมืองด้วยตัวของมันเอง วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จนก่อให้เกิดการรัฐประหาร พ.ค.2557 เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจากฝ่ายที่ไม่ยอมรับประชาธิปไตย และไม่เคยยอมรับในกติกาที่ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจในยามที่ประเทศมีวิกฤต หลังการรัฐประหาร เรายังไม่เห็นความจริงจังในการป้องปรามกลุ่มต่างๆ ที่เป็นต้นตอแห่งวิกฤต จะเห็นได้ว่าบุคคลหรือคณะบุคคลที่เป็นต้นตอแห่งวิกฤตการณ์ทั้งหลาย ยังแสดงบทบาทที่ขัดขวางและส่งผลกระทบต่อผู้ที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ช่วงเวลากว่า 2 ปีที่การรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 เกิดขึ้นไปจนถึงต้นปี 2560 เป็นระยะเวลาที่นานเพียงพอต่อการกลับคืนสู่ภาวะประชาธิปไตยปกติ และนี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่ดีที่สุดที่จะทำให้ประเทศพ้นวิกฤต และชีวิตของประชาชนกลับคืนสู่ความสงบสุข การปล่อยให้กระบวนการต่างๆ ยืดเยื้อยาวนานต่อไป หรือการไม่ทำให้กลไกของระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่ภาวะปกติที่นานาอารยะประเทศยอมรับ มีแต่จะสร้างความเสียหาย และตีบตันให้แก่ประเทศ และที่สำคัญคณะผู้มีอำนาจที่เข้ามาบริหารประเทศหลังการรัฐประหาร อาจถูกมองว่าปรารถนาที่จะสืบทอดอำนาจต่อไป ซึ่งจะไม่เป็นผลดีใดๆ เลย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image