ศาลรธน. เผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เสียงข้างน้อย คดีหุ้นไอทีวี
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่คำวินิจฉัยกลางในคดีที่ศาลมีมติ 8 ต่อ1 ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) จากเหตุมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เนื่องจากในวันที่พรรคก้าวไกลยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต. แม้นายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) แต่ข้อเท็จจริงในทางไต่สวนรับฟังได้ว่าบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ประกอบกิจการหรือมีรายได้จากกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดแล้ว
ขณะเดียวกันก็ได้มีการเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ซึ่งคดีนี้ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ว่าที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นตุลาการเสียงข้างน้อยเพียงคนเดียวที่เห็นว่า การที่นายพิธามีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นดังกล่าวเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธาสิ้นสุดลง โดยคำวินิจฉัยส่วนตนของนายนครินทร์ระบุเหตุผลตอนหนึ่งว่า
กรณีนี้เมื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ยังไม่ดำเนินการใดๆ อันจะถือได้ว่ามีเจตนาที่จะเลิกบริษัท ก็ยังต้องถือว่ามีเจตนาที่จะยังดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนอันเป็นวัตถุประสงค์หลักที่ได้จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ส่วนการจะดำเนินธุรกิจหรือประกอบกิจการหรือไม่นั้น เป็นเรื่องภายในของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) โดยเฉพาะ สำหรับการขออนุญาตหรือได้รับการจัดสรรให้ใช้ความถี่ เพื่อประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคมจากคณะกรรมการกิจการ กระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นเรื่องที่บริษัทสามารถดำเนินการดังกล่าวได้ตามวัตถุประสงค์ที่ได้มีการระบุไว้ในทะเบียนจัดตั้งบริษัท จึงเห็นว่าบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ในวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
นอกจากนี้ยังเห็นว่า ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าในวันที่ 5 กันยายน 2550 นายพิธาเป็นผู้รับโอนหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดกหรือถือครองหุ้นไว้แทนทายาทอื่น มีเพียงเอกสารหลักฐานซึ่งเชื่อได้ว่า ในวันที่ 5 กันยายน 2550 นายพิธาในฐานะผู้จัดการมรดกได้ดำเนินการโอนหุ้นของนายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ (บิดา) เจ้ามรดก มาเป็นของนายพิธา ดังนั้น นายพิธาจึงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) นับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2550
ส่วนที่นายพิธาอ้างว่าได้โอนหุ้นดังกล่าวให้นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ น้องชายในวันที่ 24 มิถุนายน 2562 ที่ปรากฏชื่อตนเองเป็นผู้ครอบครองหุ้นจนถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 จึงมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนก็เป็นเพียงการครอบครองแทนทายาทอื่นนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด 2535 หมวด 5 หุ้นและผู้ถือหุ้นมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ข้อ 9 กำหนดว่า การโอนหุ้นย่อมสมบูรณ์ เมื่อผู้โอนได้สลักหลังใบหุ้น โดยระบุชื่อผู้รับโอนและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน และส่งมอบใบหุ้นให้แก่ผู้รับโอน ที่นายพิธาอ้างว่าโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวไปแล้วปรากฏตามหนังสือสัญญาโอนหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2561 โดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่น เช่น ใบหุ้นซึ่งได้สลักหลัง หรือมีการลงทะเบียนการโอนหุ้น การโอนหุ้นเช่นนี้จึงไม่สมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อนายพิธายังคงมีชื่อปรากฏอยู่ในสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) นับตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2550 เรื่อยมาจนกระทั่งเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 จึงโอนหุ้นดังกล่าวให้นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ ทางทะเบียนของบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด กรณีจึงต้องถือว่านายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) นับตั้งแต่วันที่5 กันยายน 2550 จนถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2566
และที่อ้างว่ามูลค่าหุ้นที่ถือนั้นมีจำนวนน้อยไม่สามารถครอบงำกิจการได้ เห็นว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) มีเจตนารมณ์ในการกำหนดบุคคลผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการ หนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้น เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และยังกำหนดให้ลักษณะต้องห้ามดังกล่าวเป็นเหตุแห่งการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย ซึ่งเป็นการกำหนดตั้งแต่ในชั้นสมัครรับเลือกตั้งไปตลอดจนถึงขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมิได้บัญญัติถึงสัดส่วนในการถือหุ้น หรืออำนาจในทางบริหารงาน หรือครอบงำกิจการดังกล่าวแต่อย่างใด และเพื่อป้องกันมิให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนอาศัยความได้เปรียบจากการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่บุคคลใดเพื่อประโยชน์ทางการเมืองในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้น การพิจารณาว่าบุคคลใดมีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือพิจารณาถึงเหตุอันจะทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดสิ้นสุดลงตามบทบัญญัตินี้ จึงไม่จำต้องพิจารณาว่ามีอำนาจในการครอบงำกิจการหรือบริษัทหรือไม่ จึงเห็นว่าในวันที่ 4 เม.ย.66 ที่พรรคก้าวไกลได้ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต. โดยมีชื่อนายพิธาอยู่ในบัญชีลำดับที่ 1 และวันดังกล่าวนายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดอันเป็นลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) กรณีจึงเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธาสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6)