เปิด 4 ทางเลือกรบ.เศรษฐาเดินหน้า-ถอยหลังดิจิทัลวอลเล็ต
ผ่านมาแล้ว 6 เดือน โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ยังไปไม่ถึงไหน แม้รัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เดินหน้าผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม ทั้งตอกย้ำเรื่องประเทศไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤต จากตัวเลขเงินเฟ้อที่ติดลบจนจะกลายเป็นภาวะเงินฝืด รวมทั้งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) 2566 ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยโตเพียง 1.9% เท่านั้น รวมทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไปทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเติบทางทางเศรษฐกิจ จนต้องพยายามบีบให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายให้ได้
แม้จะพยายามผลักดันและเดินหน้าอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าโครงการนี้ยังย่ำอยู่กับที่ เหมือนกับการเริ่มต้นใหม่ เพราะแม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะให้ความเห็นเรื่องพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาแล้วระดับหนึ่ง ที่ทำให้รัฐบาลต้องนำไปคิด แต่ก็ต้องมาเจอตอใหญ่จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) ชง 8 ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการ จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท รับไปดำเนินการและตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยใช้เวลา 30 วันในการดำเนินการ จากนั้นก็นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
ดูเหมือนรัฐบาลจะให้ความเกรงใจป.ป.ช.เป็นอย่างมาก ถึงขั้นต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาข้อท้วงติงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งที่โครงการก็ยังไม่เกิดขึ้น จึงเกิดคำถามว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น และทำไมไม่เดินหน้าจัดทำโครงการไปเลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องฟัง เพราะเอาเข้าจริงเรื่องที่ป.ป.ช.ท้วงติงมาก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นหากมั่นใจว่าเป็นโครงการที่ดี เป็นประธยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ และคิดว่าทำแล้วประสบผลสำเร็จ และมีความโปร่งใสในการดำเนินการ ก็ต้องเดินหน้าและออกแบบระบบเพื่อป้องกันข้อกังวลที่ป.ป.ช.ตั้งปมไว้ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้น
และสุดท้ายเมื่อครบ 30 วันแล้ว หากรัฐบาลประกาศเดินหน้า นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องถกกันในวงกว้างอย่างแน่นอน ด้วยเรื่องวงเงินงบประมาณจำนวนมาก และรูปแบบที่ยังไม่ชัดเจน รวมทั้งการต้องออกพ.ร.บ.กู้เงิน และเมื่อผ่านครม.ไปแล้วก็ต้องหน้าส่งร่างพ.ร.บ.กู้เงินเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ต่อไป และเชื่อว่าคงยากที่พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านมาได้
ถามว่าถึงตอนนี้รัฐบาลควรถอยหลังมา 1 ก้าวดีกว่าหรือไม่ โดยควรจะทบทวนว่าจะหว่านแหแจกทั้ง 50 ล้านคนที่เงินเดือนไม่เกิน 7 หมื่นบาท และเงินฝากในบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท หรือไม่
หรือจะเปลี่ยนรูปแบบการแจกใหม่ โดยมองว่าเรื่องนี้รัฐบาลมีทางเลือกอยู่ 4 ทางคือ 1.เลือกแจกตามเดิมที่ 50 ล้านคน 2.เลือกตามความจำเป็นของกลุ่มบุคคลที่จำเป็นต้องได้จริงๆ ด้วยการลดเงินเดือนของกลุ่มผู้ที่จะได้รับแจก 3.เลือกเฉพาะกลุ่มชนชั้นรากหญ้า หรือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น และ 4. เลิกโครงการไปเลย และหันมาแจกในรูปแบบเงินสดอย่างที่รัฐบาลชุดก่อนทำกัน โดยไม่จำเป็นต้องไปลงทุนสร้างระบบใหม่ เพราะมีระบบอยู่แล้ว และอาจปรับลดวงเงินเหลือครึ่งหนึ่ง หรือเต็มจำนวนของโครงการก็ได้ ซึ่งเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ประหยัดงบประมาณลงไปได้เยอะ อาจไม่จำเป็นต้องออกพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน และหันไปใช้งบประมาณแทน หรือหากจำเป็นต้องกู้เงินก็ออกเป็นพ.รก.แทน เพราะไม่จำเป็นต้องผ่านความเห็นของรัฐสภา ใช้แค่อำนาจของครม.แทน เป็นการลดความเสี่ยง
ยอมเสียหน้านิดหน่อยแต่ยังรักษาคะแนนความนิยมไว้ได้