เมื่อวันที่ 28 มกราคม นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าของการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้ ร่างกฏหมายว่าด้วยพรรคการเมืองและ ร่างกฏหมายว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำเนื้อหาเสร็จไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนร่างกฏหมายว่าด้วยส.ส. และร่างกฏหมายว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.นั้น อยู่ระหว่างพิจารณาของอนุกรรมการฯ และการรับฟังความเห็นของประชาชน ซึ่งจะจัดขึ้นในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ส่วนร่างกฏหมายอื่นๆ ได้แก่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.), ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ วิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อยู่ระหว่างพิจารณาและวางหลักการที่สำคัญ โดยในชั้นนี้ ทางอนุกรรมการฯจะจัดทำข้อเสนอคู่ขนานไปกับการรับฟังความเห็นของผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ และฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปปรับแก้เนื้อหาหรือประเด็นที่เป็นปัญหาในอดีต
นายอุดม กล่าวด้วยว่า สำหรับร่างกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นวิธีและขั้นตอนที่จะนำไปใช้ในการพิจารณาของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั้นมีประเด็นสำคัญ คือ 1.แนวปฏิบัติที่ชัดเจนของการใช้ระบบไต่สวน ทั้งนี้มีข้อเสนอให้กำหนดคณะพิจารณาสำรอง กรณีที่องคณะที่มีอยู่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 2. การทำคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีข้อเสนอให้มีเครื่องมือช่วยพิจารณาคดี คือใช้กลไกของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เช่น พนักงานคดีช่วยรวบรวมพยานกรณีที่คดีเข้าสู่ศาลแล้ว แต่ทางอนุกรรมการฯ เห็นว่า การมีคณะทำงานจากภายนอกมาช่วยทำคดีนั้น ต้องมีความน่าเชื่อถือ และทำงานที่รวดเร็ว ต่อเนื่อง 3.กรณีการให้ผู้ต้องคดีมีสิทธิอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาได้ ซึ่งในร่างรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติกำหนดสิทธิให้อุทธรณ์ได้ แต่ไม่ได้เขียนรายละเอียดที่ชัดเจนว่าสามารถทำได้ทั้งกรณีมีพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใหม่ หรือพบประเด็นขอข้อกฎหมายใหม่ ดังนั้นในกฎหมายจึงต้องเขียนรายละเอียดดังกล่าวให้ชัดเจน โดยเบื้องต้นอนุกรรมการฯ เห็นว่าการอุทธรณ์ในกรณีดังกล่าวควรให้สิทธิเฉพาะข้อกฎหมายเท่านั้น เพราะหากให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงอาจทำให้มีความล่าช้าได้
นายอุดม กล่าวต่อว่า และ 4.กรณีไต่สวนของศาล หลังผู้ถูกกล่าวหาไม่ปรากฎตัวต่อศาลระหว่างดำเนินการ ซึ่งมีข้อเสนอว่า ให้คดีที่เข้าสู่ศาลสามารถยืดอายุความ หรือ ไม่นับอายุความ แต่ในทางปฏิบัติอาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะการจดจำรายละเอียดของพยาน ดังนั้นในแนวทางเบื้องต้นอนุฯ จะเสนอให้ เมื่อมีการฟ้องผู้กล่าวหา และในชั้นการไต่สวนของศาล หากผู้ถูกกล่าวหาไม่ปรากฎตัวต่อศาล ให้ศาลนั้นสามารถพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆ ไปได้ อย่างไรก็ดีประเด็นดังกล่าวอาจมีข้อโต้แย้งว่าขัดต่อหลักอำนวยความยุติธรรม แต่ในประเทศไทยที่นักการเมืองซึ่งทำผิดแล้วหลบหนีคดี จำเป็นต้องหาทางแก้ไข อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดเป็นเพียงข้อเสนอที่อนุกรรมการพิจารณา ยังไม่ใช่ข้อสรุป แต่สิ่งที่ต้องยึดในหลักการของการทำกฎหมายลูก คือการแก้ปัญหา เช่น กรณีที่เมืองไทยเจอนักการเมืองที่มีเงินหลบหนี คดีจะทำอย่างไร จะให้ยืดอายุความจนกว่าจะกลับมา อาจกระทบถึงการไต่สวนรายละเอียดที่ผ่านไปแล้วหลายปี ดังนั้นในประเด็นนี้อาจต้องพิจารณาในแง่ของการตีความอื่นๆ ด้วย