‘ยุทธพร’ แนะ รบ.ผ่าทางตัน ดันผลงานตามนโยบายหาเสียง มั่นใจปรับแน่ครม. คาดฝ่ายค้านรอหมัดเด็ดก่อนยื่นซักฟอก

‘ยุทธพร’ แนะ รบ.ผ่าทางตัน ดันผลงานตามนโยบายหาเสียง มั่นใจปรับแน่ ครม. ระบุฝ่ายค้านรีรอยื่นซักฟอก คาดรอหมัดเด็ด ไม่ถึงขั้นดีลลับ

เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 1 มีนาคม ที่รัฐสภา นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงผลงานของรัฐบาลว่า การขับเคลื่อนผลงานของรัฐบาลเป็นเรื่องที่มีความสำคัญกับรัฐบาล เพราะเป็นความคาดหวังของประชาชน และการจัดตั้งรัฐบาลที่ใช้ระยะเวลายาวนาน 3-4 เดือน ประชาชนจึงคาดหวังสูงโดยเฉพาะในเชิงนโยบาย แต่วันนี้รัฐบาลมีข้อจำกัดในการบริหารงาน เพราะรัฐบาลวันนี้ไม่เหมือนกับรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ในอดีตที่มีเสียงค่อนข้างเด็ดขาด รวมทั้งไม่ได้มีเสียงอันดับหนึ่งทำให้มีข้อจำกัดในการตัดสินใจ เพราะเป็นรัฐบาลผสม การตัดสินใจจึงใช้ลักษณะของการประนีประนอม อีกทั้งกระบวนการตรวจสอบในรัฐธรรมนูญที่เข้มข้น ทำให้มีการตรวจสอบจากองค์กรอิสระ เช่น นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่มีการตรวจสอบตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำนโยบายด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการทำงานของรัฐบาล

ขณะเดียวกันการมีอยู่ของพรรคก้าวไกลซึ่งมีอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน ดึงคะแนนความนิยมกันไปมา จึงเป็นจุดสำคัญที่รัฐบาลจะต้องผ่าทางตันทางการเมืองตรงนี้ให้ได้ ในการที่จะขับเคลื่อนนโยบาย ไม่เช่นนั้นจะมีคำถามจากประชาชนและสังคม ที่มองเรื่องประสิทธิผลในทางนโยบายทั้งที่แถลงต่อรัฐสภาและที่หาเสียงเลือกตั้งเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลต่อความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาล รวมถึงในอนาคตจะมีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติจาก ส.ว.ด้วย โดยสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการเมืองนอกสภา และในอนาคตหากฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาล ที่จะต้องตอบให้ชัดเจนในนโยบายต่างๆ รวมถึงการเข้ามาตอบกระทู้ในสภา ที่จะต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

เมื่อถามว่า กรณีที่มองกันว่าเวลาอีก 3-4 เดือนจะครบการทำงาน 1 ปีของรัฐบาล มีปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้ต้องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ นายยุทธพรกล่าวว่า การปรับ ครม. มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงแต่เป็นการปรับเล็ก โดยเมื่อทำงานครบ 6 เดือนหรือ 1 ปี ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการประเมินการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคน ในขณะเดียวกันก็จะต้องมีการวางยุทธศาสตร์ทางการเมือง โดยอาจจะมีการสลับผลัดเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม หรือเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการเมือง หรือขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ จึงมองว่า ระยะเวลาตอนนี้ก็ผ่านมา 6-7 เดือนของรัฐบาลแล้วจึงมีโอกาสสูงที่จะมีการปรับ ครม.เกิดขึ้น แต่คิดว่าอาจจะไม่ได้เป็นการปรับใหญ่ โดยอาจจะเป็นลักษณะของการจูนเครื่องทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมีประสิทธิผลมากขึ้น หรือการเชื่อมต่อของกลไกรัฐ กลไกราชการให้ไร้รอยต่อมากขึ้น ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายเกิดผล แต่ก็ต้องปฏิเสธไม่ได้ว่าการปรับคณะรัฐมนตรี เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมืองเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล การเมืองในแต่ละพรรค ดังนั้น กระบวนการในการพูดคุยเพื่อสร้างความลงตัว น่าจะเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ในการที่จะเจรจาเพื่อจะวางตำแหน่ง หรือวางยุทธศาสตร์ ที่ทุกฝ่ายยอมรับและเป็นไปได้

Advertisement

“ท้ายสุดการเมืองในระบบรัฐสภา รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ ส่วนใหญ่หรือเสียงข้างมากในสภาเป็นเรื่องสำคัญ ไปหากความสัมพันธ์ภายในพรรคร่วมรัฐบาลยังไปกันได้ หรือเป็นไปในทิศทางเชิงบวก โอกาสที่รัฐบาลไปต่อก็มีความเป็นไปได้สูง ทุกวันนี้การเมืองนอกสภาก็มีการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ดังนั้นเสถียรภาพของรัฐบาลในสภา คือการต้องคุยกันให้ลงตัว ในการเดินหน้ายุทธศาสตร์ รวมถึงการปรับคณะรัฐมนตรี” นายยุทธพรกล่าว

เมื่อถามว่า ในมุมของฝ่ายค้านที่ผ่านมา 6-7 เดือนมีผลงานอะไรเป็นที่ประจักษ์บ้าง และช่วงใกล้ปิดสมัยประชุมหากยังไม่ยื่นอภิปรายจะเป็นการเสียโอกาสหรือไม่ นายยุทธพรกล่าวว่า การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านเป็นที่จับตาของสังคม เพราะในอดีตเราอยู่ในพื้นฐานความคิด ความเชื่อทางการเมือง ว่าใครที่เป็นรัฐบาลจะมีความได้เปรียบทั้งในเรื่องของงบประมาณ ระบบราชการและกำลังพลในการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ แต่การเมืองในขณะนี้เปลี่ยนไปหลายมิติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการที่ไม่ได้อยู่ในฐานะรัฐบาลก็สามารถสร้างพื้นที่ สร้างผลงานในการเรียกคะแนนนิยมได้ และปรากฏการณ์ของพรรคก้าวไกลก็เป็นบทพิสูจน์แล้วว่าในการเลือกตั้งปี 2562 ในเวลานั้นซึ่งเป็นพรรคอนาคตใหม่จนมาเป็นพรรคก้าวไกล ก็ไม่เคยเป็นรัฐบาลเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่ในปี 2566 พรรคก้าวไกลประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งที่ได้ สส.มากขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่า เมื่อมาในสภาสมัยปัจจุบัน การทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคก้าวไกลก็ถูกตั้งคำถามว่ายังมีการตรวจสอบต่างๆ และมีความเข้มข้นเหมือนสภาชุดที่แล้วหรือไม่

“เป็นหน้าที่ใหญ่ของฝ่ายค้านที่จะต้องมีบทบาทในการตรวจสอบ ซึ่งเป็นบทบาทหลักในการทำหน้าที่นิติบัญญัติอย่างหนึ่ง แลเสังคมก็ตั้งคำถามว่า เอกภาพของฝ่ายค้านระหว่างพรรคขนาดใหญ่อย่างพรรคก้าวไกลและพรรคขนาดกลางอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีในการทำหน้าที่ในฐานะพรรคฝ่ายค้านได้หรือไม่ รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจสังคมก็ได้ตั้งคำถาม และหากพรรคก้าวไกลไม่อภิปรายในสมัยประชุมนี้ เป็นเพราะมีดีลรับหรือไม่” นายยุทธพรกล่าว

Advertisement

นายยุทธพรกล่าวต่อว่า ตรงนี้ตนคิดว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะกรณีที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดหรือไม่เกิดนั้น มาจากสองเรื่องใหญ่ คือสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันและเรื่องของเงื่อนไขกติกาทางกฎหมาย ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็กำหนดไว้ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในหนึ่งปีจะทำได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ดังนั้น สิ่งที่ฝ่ายค้านจะยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจะต้องเป็นหมัดเด็ด หมัดน็อก และทำให้เกิดการกระเพื่อม แรงกดดันในทางสังคมต่อรัฐบาล เพราะวันนี้ 314 เสียงของรัฐบาล หากยังมีความสัมพันธ์อันดี การดำเนินงานของพรรครวมยังไปกันได้ ก็ไม่มีอะไรที่จะสั่นคลอนได้ นี่คือช่องว่างของระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทนคือเสียงข้างมากลากไป โหวตอย่างไรรัฐบาลก็ชนะ

นายยุทธพรกล่าวด้วยว่า แต่วันนี้หากแรงกดดันยังมีไม่มากพอ การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจไปก็อาจทำให้เกิดภาวะเสียของได้ หรือเป็นการใช้โอกาสเปลืองของฝ่ายค้าน ดังนั้น เราจึงไม่เห็นการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้นได้ง่าย บวกกับปัจจัยสถานการณ์ทางการเมือง เพราะวันนี้เราจะเห็นสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังเป็นไปในทางบวก ดังนั้น เมื่อมีการอภิปรายในแต่ละยุคแต่ละสมัย เราจะเห็นได้เลยว่าหากรัฐบาลจะไปต่อไม่ได้ มักเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ในพรรคร่วมรัฐบาลไม่ดี และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น แต่ ณ วันนี้สถานการณ์ทางการเมืองเรายังไม่เห็นภาพเช่นนั้น และสถานการณ์ของพรรคก้าวไกลก็อยู่ในระยะพักตัวสักระยะหนึ่ง เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีล้มล้างการปกครอง ตนจึงคิดว่าโอกาสที่จะได้เห็นการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีไม่มากประกอบกับใกล้จะปิดสมัยประชุมสภาในช่วงเดือนเมษายน รวมถึงเทศกาลวันหยุดด้วยทำให้ความสนใจในเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองทุกคนน้อยลง

เมื่อถามว่า มองว่าจะมีปรากฏการณ์ที่ฝากเลี้ยง หรือการซื้อตัว ส.ส.เกิดขึ้นในพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายยุทธพรกล่าวว่า ตนคิดว่าพรรคก้าวไกลมีบทเรียนจากปรากฎการณ์ผึ้งแตกรังในสมัยพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เรื่องการเกาะเกี่ยวทางการอุดมการณ์ กลไกที่จะเกาะกันเองในพรรคน่าจะมีสูงขึ้น แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นในการเมืองไทย นอกจากจะมีการเมืองที่เป็นทางการแล้ว ในส่วนหนึ่งก็จะมีการเมืองที่ไม่เป็นทางการด้วย ฉะนั้น การใช้การเมืองที่ไม่เป็นทางการในการดูด ส.ส. เพื่อที่จะทำให้เกิดการย้ายพรรคข้ามขั้ว ดังคำกล่าวที่ว่าพรรคเดียวกันแต่คนละขั้ว พวกเดียวกันแต่คนละพรรค ฉะนั้น ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการเช่นนี้สะท้อนให้เห็นการพลิกผันทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image