เศรษฐา ดันไทยฮับการบิน เร่งขยายสุวรรณภูมิ รับ 150 ล้านคนต่อปี เล็ง 5 ปี ท็อป 20 โลก

“เศรษฐา”ลั่น ดันไทยฮับการบิน ทวงคืนอันดับโลก เร่งขยายสุวรรณภูมิ เล็งเป้า 5 ปี ท็อป 20 โลก ขยายรับ 150 ล้านคนต่อปี

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานแถลงวิสัยทัศน์ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค เชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และเชื่อมต่อการเดินทางแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศให้ได้มากกว่า 150 ล้านคนต่อปี และจะเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าทางอากาศแห่งภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก
นายเศรษฐากล่าวว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2548 สนามบินสุวรรณภูมิเคยอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก แต่ในปัจจุบันตกอยู่ในอันดับที่ 68 ของโลก

ดังนั้น รัฐบาลจึงมีแผนจะพัฒนาท่าอากาศยานของไทยให้กลับมาติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี เนื่องจากไทยตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์กึ่งกลางของเอเชียแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับ 3 ประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการเปิดบินเสรีการบินอาเซียน โดยการประกาศวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กำกับดูแลท่าอากาศยานในความรับผิดชอบ 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่มีพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ รัฐบาลมีแผนจะขยายขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ขณะนี้ AOT ได้เปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ SAT-1 สามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในปี 2567 นี้เตรียมจะเปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 สามารถรองรับเที่ยวบินจาก 60 เที่ยวต่อชั่วโมง เป็น 90 เที่ยวต่อชั่วโมง

Advertisement

และมีแผนจะก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสารทางทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 30 ล้านคนต่อปี และยังมีแผนจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารทางทิศใต้ ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก 60 ล้านคนต่อปี

รวมถึงมีแผนจะก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 รองรับเที่ยวบินได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง รวมถึงจะเปลี่ยนเครื่อง x-Ray ที่จุดตรวจค้น ผู้โดยสารไม่ต้องหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกจากกระเป๋า หรือถอดรองเท้าขณะผ่านจุดตรวจค้นเพื่อร่นระยะเวลาในการตรวจเช็ก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image