2 คน ยลตามช่อง กรณี”รถหรู”วัดปากน้ำ คน 1 มอง”อะไร”

บรรยากาศในวงการ “พระ” และ “ฆราวาส” ขณะนี้ชวนให้เกิดนัยประหวัดไปยังกวีนิพนธ์เรืองนาม 1 ของท่านเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์

นั่นก็คือ บทว่าด้วย “2 คนยลตามช่อง”

ปรากฏว่า “คน 1 มองเห็นโคลนตม” ขณะเดียวกัน ปรากฏว่า อีกคน 1 กลับ “มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว”

ความหมายก็คือ มองกัน “คนละมุม”

Advertisement

ท่านเจษฎาจารย์ ฟ.ฮีแลร์ อาจเป็นบาทหลวงในสำนักอัสสัมชัญ แต่ไม่ว่าคริสต์ ไม่ว่าพุทธ เมื่อสะท้อนตามความเป็นจริง

ล้วนยืนยันในความเป็น “สัตยธรรม”

หากมองจากทางด้านพุทธ อาจจำเป็นต้องยกนิทานเรื่อง “ตาบอดคลำช้าง” อันท่านพระพุทธโฆษาจารย์ยกมาเป็น “อุทาหรณ์” สอนใจ

Advertisement

คนหนึ่งคลำ “งวง” คนหนึ่งคลำ “ขา”

เมื่อสะท้อนออกมาให้เป็นที่ปรากฏก็ดำเนินไปเหมือนกับที่ท่านเจษฎาจารย์

ฟ.ฮีแลร์ สรุปอย่างรวบรัด

คนหนึ่งมองเห็น “โคลนตม” คนหนึ่งมองเห็น “ดาว” พราวแพรว

รูปธรรมอันสดๆ ร้อนๆ เป็นอย่างยิ่ง สามารถสัมผัสได้จากกรณีของ

“รถหรู” ซึ่งจอดโชว์ ณ พิพิธภัณฑ์รถโบราณ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

พลันที่ “ดีเอสไอ” แถลงผลสอบสวน “เบื้องต้น”

ฝ่าย 1 เต็มไปด้วยความลิงโลด ถึงกับฟันธงอย่างเฉียบขาดว่า เท่ากับมีมลทินแล้ว ไม่อาจนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

ตรงกันข้าม ฝ่าย 1 ตั้งข้อกังขา ไม่แน่ใจว่าจะผิดตามข้อสรุป “เบื้องต้น” หรือไม่

ทั้งยังมองไปไกลด้วยว่า กระบวนการนี้เท่ากับเป็นส่วนหนึ่งของแผนในการเตะสกัดมิให้การนำมติของมหาเถรสมาคมขึ้นทูลเกล้าฯ ดำเนินไปด้วยความราบรื่น

แม้ว่าจะทำตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535

แม้ว่ามตินี้จะเป็นไปในลักษณะ “เอกฉันท์” เห็นกันอย่างเป็น “เอกภาพ” ไม่ว่าจะสมเด็จพระราชาคณะจากมหานิกาย ไม่ว่าจะสมเด็จพระราชาคณะสาย

ธรรมยุต

มติ “เบื้องต้น” นี้ของดีเอสไอจึงเท่ากับเป็น “การกลั่นแกล้ง”

เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของสมเด็จพระพิมลธรรม แห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ เมื่อ 50 กว่าปีก่อน

เหตุเพราะไม่ต้องการให้ท่านได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระสังฆราช”

เป็น “บทเรียน” จากยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังรัฐประหารเมื่อปี 2501

หากมองบทบาทของกรมสอบสวนคดี

พิเศษหรือดีเอสไออย่างเห็นกระบวน

การของการทำงาน กระบวนการของการแถลงข่าว

ก็อาจจะไม่ “ผลีผลาม” ใจเร็ว “ด่วนได้”

เหตุเพราะความผิดต่อ “รถหรู” คันนั้นเป็นเรื่องของผู้นำเข้า เป็นเรื่องของ

ผู้จดประกอบ เป็นเรื่องของผู้บริจาคอย่างเป็นด้านหลัก

ยังมิได้เป็นเรื่องของ สมเด็จพระมหา

รัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปัญโญ)

ดีเอสไอไม่เคยระบุสักคำว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปัญโญ) มีความผิด เพราะต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือนในการพิสูจน์ทราบ

ความผิด 1 คือ การนำเข้ารถ

ความผิด 1 คือ การจดประกอบรถ

ขณะเดียวกัน ความเป็นจริง 1 ซึ่งหลายฝ่ายมองข้ามไปทั้งโดยเจตนา ทั้งโดยไม่ตั้งใจก็คือ ภาระหน้าที่ของรถผิดกฎหมายคันนั้น

เป็นการนำมาใช้ เป็นการนำมาขับขี่หรือไม่

หรือว่า เมื่อได้รับบริจาคมาแล้วก็นำเข้า

ไปตั้งแสดงเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์รถโบราณ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในฐานะอันเป็นความรู้

ตรงนี้ดูเหมือน “ดีเอสไอ” มิได้เน้น ตรงนี้ดูเหมือน “ดีเอสไอ” ก็ยังไม่กระจ่าง

กรณีของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ จึงต้องศึกษาบทเรียนของสมเด็จพระพิมลธรรม

ศึกษาการยืนหยัดของสมเด็จพระพิมลธรรม ไม่ว่าจะถูกให้ร้ายป้ายสี กระทั่งมีผู้พยายามกระชากลากดึง “ผ้าเหลือง” ออกจากร่างโดยกำลัง “บังคับ”

ทองแท้ย่อมทนทานต่อการพิสูจน์ จันทน์หอมยิ่งทุบก็ยิ่งหอม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image