วิโรจน์ ชี้ซื้อฟริเกต เป็นโอกาสพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รับ ผิดหวังสุทินไม่ให้ความสำคัญ

‘วิโรจน์’ ชี้ อย่าเหมารวมกองทัพซื้อแต่ของไม่จำเป็น หากโปร่งใส ปชช. ยอมรับได้ มองการซื้อเรือฟริเกตสร้างประโยชน์ ป้องกันประเทศ เชื่อไร้เกี้ยเซี้ย ‘ทร.-ทอ.’

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธาน กมธ. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการสัมมนาว่า การที่ตนพูดถึงเรื่องกองทัพอากาศในวันนี้ เนื่องจากการเปิดเผยสมุดปกขาว ทำให้ประชาชนทราบถึง ยุทธศาสตร์ ไทม์ไลน์ และงบประมาณ ในการพัฒนาด้านความมั่นคง และเทคโนโลยี ของกองทัพอากาศ ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบในรายละเอียดถือว่า เป็นสมุดปกขาวที่ละเอียดมาก และมีการเปิดเผยที่โปร่งใสอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความไว้วางใจกันและกันมากขึ้น การวิพากษ์วิจารณ์ย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะประชาชนเป็นเจ้าของภาษี แต่ถ้ากองทัพพร้อมชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา ผ่านกรรมาธิการ หรือสื่อสาธารณะ จะทำให้ประชาชนจำนวนมากมีความเข้าอกเข้าใจมากขึ้น ยิ่งในส่วนนโยบายการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ หากมีเงื่อนไขที่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชน ตนคิดว่า ก็เป็นเงื่อนไขที่ประชาชนเข้าใจและรับได้

ส่วนท่าทีที่เปลี่ยนไประหว่างตนกับกองทัพอากาศและกองทัพเรือ ที่ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจมีการเกี้ยเซี้ยกันหรือไม่นั้น ตนคิดว่าไม่ใช่การเกี้ยเซี้ยเลย แต่ขึ้นอยู่ที่เนื้อหาสาระ อย่างกรณีเรือฟริเกต เสนาธิการทหารเรือก็ได้ชี้แจงด้วยตัวเอง และนำเอาจำนวนเรือ รวมถึงแผนการปลดระวาง มาชี้แจงอย่างละเอียด และยืนยันชัดเจนว่า วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท ในการซื้อเรือฟริเกต ที่ของบประมาณไป ซึ่งถูกตีตกโดยรัฐบาล และพรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเอง หรือพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก เพราะหากไม่ได้ในงบ 67 การไปขอในงบ 68 ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะไม่ทันแน่ อาจจะต้องไปถึงงบ 69

นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ทำให้ตนตั้งคำถามว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ที่จะทำให้ประเทศไทยมีเงินหมุนเวียนในประเทศ ซึ่งน่าจะอยู่ในระดับหลายพันล้านบาท และน่าจะเป็นการต่อเรือในระดับที่มีระวาง 3,900 ตันครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งประเทศเรายังต้องการเรือฟริเกตอีกมาก ดังนั้น นี่จะเป็นแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมการต่อเรือ และเป็นคุณูปการต่อวงการวิศวกรรมการต่อเรืออย่างมาก แต่ถ้าเกิดการผลิตหยุดชะงักไป ลองคิดถึงสายการผลิตดูว่าถ้าไม่มีการผลิตต่อเนื่อง จะมีใครลงทุนอู่ต่อเรือที่ต้องค้างคาไว้ 2-3 ปี โดยที่ไม่มีการต่อเรือหรือไม่

Advertisement

นายวิโรจน์ย้ำว่า นี่คือโอกาส ไม่ใช่โอกาสที่ประเทศไทยจะได้เรือรบ แต่เป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และการส่งเสริมการจ้างงานที่สูญหายไป 2-3 ปี จากการไม่ใส่ใจในเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของรัฐบาลนี้

“แรกๆ ผมตกใจมาก เพราะคิดว่าถ้ามีมือของก้าวไกล และคุณสุทินให้ความใส่ใจในเรื่องของการพัฒนาอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ จะสามารถเจรจาชี้แจงกับตัวแทนกรรมาธิการฝั่งรัฐบาล และจากฝั่งพรรคเพื่อไทยเอง แค่ 3 ส่วนนี้ เรือฟริเกต 1.7 หมื่นล้านบาท ก็ผ่านแล้ว และเกิดขึ้นคุณูปการต่ออุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของประเทศไทยแล้ว แต่สะท้อนว่า นายสุทินไม่ให้ความสนใจในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศเลย น่าผิดหวังมาก” นายวิโรจน์กล่าว

ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่า บุคลากรส่วนใหญ่ในงานเป็นคนของพรรคก้าวไกลเอง จะถือว่าได้ข้อมูลจากฝั่งเดียวหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นการส่งสัญญาณถึงทางกองทัพและกระทรวงกลาโหมว่า หลักคิดมีอยู่แค่ 3 ประการคือ 1.กองทัพจะต้องบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชน และทำให้พื้นที่ของกองทัพเกิดผลประโยชน์ต่อประชาชน 2.ความโปร่งใสตรวจสอบได้ และ 3.ให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้น ถ้าการพัฒนาที่ดินตรงกับความต้องการของประชาชน ก็จะทำให้กองทัพและประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ อยู่กันในสถานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันได้

Advertisement

เราอย่าเหมารวมว่า การจัดซื้อทุกอย่างของกองทัพเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ผมคิดว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เป็นการจัดซื้อตามความจำเป็น แต่พอมีข่าวว่ากองทัพจะซื้อนั่นซื้อนี่ ปรากฏว่าจะถูกค้านไว้ก่อนทันที ซึ่งสะท้อนว่า ในปัจจุบันประชาชนกับกองทัพอยู่ในสถานะที่ไม่ไว้ไว้วางใจกันแล้ว ดังนั้น ถ้าเราเปิดเผยตรงไปตรงมา สุดท้ายประชาชน แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบ แต่ก็จะอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และจะทำให้การจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพ อยู่บนพื้นฐานของความจำเป็น และเปิดเผยโปร่งใส ซึ่งเป็นผลดี ทั้งต่อประเทศ และกองทัพด้วย” นายวิโรจน์กล่าว

ด้าน นายเชตวัน เตือประโคน ส.ส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคาดหวังจากงานเสวนาในวันนี้ ว่า อย่างที่ทราบกันดีว่า ที่ทางของแต่ละเหล่าทัพมีอยู่มากมาย เราจึงต้องมาคิดถึงการใช้ประโยชน์ร่วมกัน อย่างที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พูดไว้ในวันแถลงนโยบายว่า เรื่องการใช้ที่ดินของกองทัพเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล

เพราะฉะนั้น ตนคิดว่า พื้นที่สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่ประชาชนอาศัยอยู่มากมาย ทำให้ประชาชนไม่มีพื้นที่ออกกำลังกาย แนวคิดในการเปลี่ยนสนามกอล์ฟมาทำสวนสาธารณะ ที่แม้ขนาดผู้บัญชาการทหารอากาศยังบอกว่า จะเอามาทำเป็นสปอร์ตคอมเพล็กซ์ นั่นก็หมายความว่า เราเห็นตรงกันว่า ที่ตรงนี้ไม่ควรเป็นสนามกอล์ฟ ที่มีคนไม่กี่คนได้ใช้ประโยชน์อีกต่อไป ควรจะนำมาทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้ใช้ประโยชน์ และเป็นเรื่องการพัฒนาการอยู่ร่วมกันของประชาชนและกองทัพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image