ศาลพิพากษาจำคุก 10 ปี 2 ชายชุดดำพกอาวุธชุมนุมปี’53-ยกฟ้อง 3 ราย เหตุไร้หลักฐาน(คลิป)

แฟ้มภาพ

ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฟ้องนายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย และนางปุนิกา หรืออร ชูศรี เป็นจำเลยที่ 1-5 กรณีร่วมกันพกอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 / ปืนเอ็ม 16 / ปืนเอชเค (HK) 33 หรือปืนอาก้า ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว / ถนนประชาธิปไตย เขตพระนคร ในช่วงที่มีการชุมนุมและขอคืนพื้นที่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ทหารเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเห็นรถตู้สีขาวขับผ่านใกล้ที่ชุมนุมของกลุ่ม นปช. โดยมีนายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 ชะโงกหน้าออกมานอกรถ และมีปืนเอ็ม 16 และอาก้าอยู่ในรถ และยังมีพี่สาวของจำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 มีอาชีพขับรถตู้โดยสารไปร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.หลายครั้ง นอกจากนี้โจทก์ยังมีคนขับรถตู้วินเดียวกับจำเลยที่ 1 เบิกความสนับสนุนด้วย ประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวน ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าถูกข่มขู่ แต่พยานโจทก์ทุกปากก็เบิกความสอดคล้องกันไม่มีข้อสงสัย และจำเลยที่ 1 อ้างว่าตัวเองนั่งรถตู้มาร่วมชุมนุมแต่เข้าไปไม่ได้ จึงเดินทางกลับไปที่จังหวัดลำปาง จึงชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ไปในที่เกิดเหตุจริง แต่ไม่นำพยานที่อ้างว่าเดินทางไปจังหวัดลำปางมาเบิกความยืนยัน ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

ซึ่งโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนที่แฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.เบิกความว่าพบนายปรีชา จำเลยที่ 2 สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าในที่ชุมนุมและสามารถถ่ายภาพขณะถอดหมวกไว้ได้ ประกอบคำเบิกความของจำเลยที่ 2 รับว่าตัวเองเป็นการ์ด นปช.จริง แต่ในวันเกิดเหตุไปรับจ้างเดินสายไฟให้หน่วยงานราชการที่แจ้งวัฒนะ ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม แต่ก็ไม่นำผู้ว่าจ้างหรือสัญญาจ้างมายืนยันเป็นเพียงคำกล่าวอ้างไม่น่าเชื่อถือ ประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน

พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่านายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และ นายปรีชา จำเลยที่ 2 ทำผิดตามฟ้อง ฐานร่วมกันพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ หรือชุมชน และมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490
พิพากษาจำคุกคนละ 10 ปี

Advertisement

 

 

Advertisement

ส่วนจำเลยที่ 3 /4 /5 แม้ว่าในชั้นสอบสวนจะให้การรับสารภาพ แต่เจ้าหน้าที่มีเพียงบันทึกคำซักถามและคำให้การของผู้ต้องหาเท่านั้น เป็นเพียงพยานบอกเล่าและคำซัดทอด แม้จะมีภาพถ่ายนำชี้ที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความสนับสนุนจึงมีเหตุให้สงสัย ไม่มีน้ำหนัก พยานหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ จึงยกประโยชน์ให้จำเลยที่ 3/4/5 พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์

ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ระบุว่า เตรียมปรึกษาทีมทนายความเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และ 2 ต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image