หากเริ่มต้นจากบทสรุปที่ว่า “ใครกำหนดเกม คนนั้นย่อมมีโอกาสได้ชัยชนะ” อันเป็นความจัดเจนของพรรคไทยรักไทย ที่ต่อเนื่องผ่าน พรรคพลังประชาชน มายัง พรรคเพื่อไทย
ก็กลายเป็นคำถามว่า การปะทะในเรื่องพีเอ็ม2.5 ในเรื่อง ไฟป่า อันมี เชียงใหม่ เป็นสมรภูมิช่วงชิงใครกำชัย
คำถามนี้คำตอบมิได้อยู่ที่ พรรคเพื่อไทย มิได้อยู่ที่ พรรคก้าวไกล หากแต่อยู่ที่ ประชาชน โดยพื้นฐานคือ “คนเชียงใหม่” โดยทั่วไปคือ คนไทยทั้งประเทศ
หากมองจากสถานะแห่งความเป็นรัฐบาลเด่นชัดอย่างยิ่งว่า พรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 น่าจะเป็นคนกำหนดเกม
แต่คำถามอันมาจากสถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม กระทั่ง ณ วันนี้ แน่ใจหรือว่าชัยชนะเป็นของรัฐบาล ชัยชนะเป็นของ พรรคเพื่อไทย
ตรงกันข้าม พรรคก้าวไกล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต่างหากที่ช่วงชิง “พื้นที่ข่าว” ไปยึดครองไว้ได้อย่าง เบ็ดเสร็จและแทบจะเด็ดขาด
ไม่ว่าข่าวในด้าน “ร้าย” ไม่ว่าข่าวในด้าน “ดี”
การเดินทางของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในวันที่ 16 มีนาคม เป็นการเดินทางในลักษณะจำกัดวง มิได้กระทำในลักษณะทั่วไปเหมือนกับในตอนก่อนเดือนพฤษภาคม 2566
ไม่ว่าจะมองที่ สนามบินเชียงใหม่ ไม่ว่าจะมองที่เข้าร่วมกับ มูลนิธิกระจกเงา “อาสาดับไฟป่า” ไม่ว่าเมื่อเดินทางไปวัด
ยิ่งการเดินทางไปแจกลายเซ็นในร้านหนังสือ “เล่า” ยิ่งวงเล็ก
กระนั้น เมื่อมองไปยังรายละเอียดในห้วงแห่งการเล่นบทเป็น “อาสาดับไฟป่า” และเมื่อเดินทางไปรับฟังคำบรรยายในองค์กรมหาชน “NARIT” ก็เป็นการเล่นบทที่สอดประสาน
เพียงแต่เมื่อเป็น “อาสาดับไฟป่า” สะท้อนการเข้ารับรู้ความเป็นจริงของสถานการณ์ ขณะที่เมื่ออยู่ในองค์กร NARIT เป็นการเก็บรับข้อมูลอันเป็นวิทยาศาสตร์จากนักวิชาการ
ปฏิกิริยาอันมาจาก “รัฐบาล” ปฏิกิริยาอันมาจาก “เพื่อไทย” ต่างหากที่ขับเน้นบทบาทและความหมายของ “ก้าวไกล”
แท้จริงแล้ว รัฐบาล และ พรรคเพื่อไทย มิได้เป็นผู้กำหนดเกม หากแต่เป็น พรรคก้าวไกล และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ไม่ว่าจะมองด้าน “การเมือง” ไม่ว่าจะมองด้าน “การตลาด”
บทบาทของกองงานโฆษกในสังกัดเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ยกกันมาครบถ้วน ทั้ง พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ต่างหากที่เป็นภาพฟ้องแห่งการหลงทิศผิดทาง
เสริมจุดเด่นให้กับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สร้างความสำคัญให้กับพรรคก้าวไกลโดยแทบไม่รู้สึกตัว