‘นิพิฏฐ์’เย้ย’อ.ปื๊ด’มีผลงาน’ชิ้นโบแดง’ ขนาด’เครือข่ายคนกันเอง’ยังโหวตคว่ำ

แฟ้มภาพ

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญออกมาระบุว่าภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ฤชุพันธ์ุ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่ามีข้อดี อย่าฟังนักการเมืองพูดแต่ข้อเสีย ว่า การร่างรัฐธรรมนูญต้องฟังทุกฝ่าย ตนเห็นตรงข้ามกับคำพูดของนายบวรศักดิ์ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญต้องให้ความสำคัญกับความเห็นของนักการเมือง เพราะนักการเมืองเป็นผู้ศึกษาเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญจริงๆ ที่ผ่านมามีข้อมูลว่าคนไทยอ่านรัฐธรรมนูญไม่ถึง 7% ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าข้อเสนอที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งให้ทั้งหมด 16 ข้อ มีมากกว่า 10 ข้อที่ตรงกับสิ่งที่ตนเองเคยวิจารณ์ไว้ นั่นก็แสดงว่าสิ่งที่ตนพูดก็พอจะมีประโยชน์ ไม่อย่างนั้น ครม.คงไม่คิดเหมือนกัน ทั้งการเลือกตั้ง ส.ส. เรื่องการพัฒนาการศึกษา เรื่องการใช้งบประมาณของฝ่ายบริหาร ดังนั้นนายบวรศักดิ์จะมาบอกว่าอย่าไปฟังนักการเมืองมันไม่ได้

“การสมมุติวันนี้ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่านประชามติ ก่อนจะคิดหาทางออกกันว่าจะนำรัฐธรรมนูญฉบับไหนมาใช้ ต้องมีคนตอบคำถามก่อนว่า ผลที่ออกมาเพราะคนร่างรัฐธรรมนูญไม่เข้าท่า ไม่ตรงใจประชาชน ถ้าประชาชนไม่เอา ก็แสดงว่าคนร่างไม่เข้าใจบริบทการเมืองไทย ควรเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาปรับใช้ เพราะมีความชอบธรรมที่ผ่านประชามติของประชาชนมาแล้ว ส่วนที่นายบวรศักดิ์บอกว่า ถ้านักการเมืองไม่พอใจก็ให้มาร่างเองนั้น ผมคิดว่าใครร่างก็ไม่มีปัญหา แต่นักการเมืองคงไม่ร่าง เพราะมิเช่นนั้นก็เข้ามาร่วมสังฆกรรมด้วยตั้งแต่แรกแล้ว เราเป็นผู้เล่น จึงไม่ได้ต้องการอำนาจในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งการออกมาท้าทายนักการเมืองแบบนี้ผมไม่แปลกใจเลย เพราะเป็นบุคลิกของนายบวรศักดิ์ ซึ่งแตกต่างจากนายมีชัยโดยสิ้นเชิง” นายนิพิฏฐ์กล่าว

ส่วนที่นายบวรศักดิ์เสนอให้นำร่างของตัวเองมาเป็น 1 ใน 3 ทางเลือกเพื่อให้ประชาชนลงประชามตินั้น นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า การร่างรัฐธรรมนูญของนายบวรศักดิ์ที่ถูกคว่ำโดยกลุ่มคนที่มาจากการยึดอำนาจด้วยกันนั้น ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดง เพราะขนาดสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ไหลมาจากแม่น้ำสายเดียวกัน ยังโหวตคว่ำ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าผลงานของนายบวรศักดิ์เป็นอย่างไร และได้รับการยอมรับหรือไม่ จึงเห็นว่าร่างของนายบวรศักดิ์หมดความชอบธรรมที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณากันอีกต่อไปแล้ว