‘ก้าวไกล’ ซัด 3 เสี่ยง ดิจิทัลวอลเล็ต หากรบ.ดันต่อ ทั้งขาดประสิทธิภาพ-หวั่นคอร์รัปชั่น

‘ก้าวไกล’ ซัด 3 เสี่ยง ดิจิทัลวอลเล็ต หากรบ.ดันต่อ ทั้งขาดประสิทธิภาพรับมือวิกฤต-หมดโอกาสยกระดับชนชั้นกลาง-เสี่ยงคอร์รัปชัน ชี้ตัดโอกาสร้านเล็ก ห่วงหาบเร่แผงลอยหลุดวงโคจร งงคนเงินเดือนเกิน 7 หมื่นต้องรับจ่ายหนี้

เมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่รัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงกรณีที่รัฐบาลยืนยันเดินหน้าดำเนินการโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นผู้บริหารธนาคารในระดับอาเซียน อดห่วงไม่ได้กับท่าทีของรัฐบาลในโครงการนี้ จึงขอเตือนไปยังรัฐบาลในความเสี่ยง 3 เรื่องที่จะเกิดขึ้นคือ ความเสี่ยงที่ 1.การเตรียมตัวกับวิกฤตในอนาคต ในขณะนี้ทุกคนทราบข่าวการเกิดวิกฤตการสู้รบ ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป ตะวันออกกลาง และอีกหลายแห่งทั่วโลกขึ้น และถ้าโลกเกิดวิกฤตจากความไม่สงบขึ้นจนกระทบเศรษฐกิจในระดับโลก หรือหากเกิดภัยธรรมชาติรุนแรงในประเทศเหมือนปี 54 อีก ประเทศไทยจะประสบกับความยากลำบากในการเผชิญกับวิกฤต มองว่าเราใช้จ่ายเงินเกินตัว ถ้ามีการแจกเงิน 5 แสนล้านบาท ตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่เศรษฐกิจของไทยไม่ได้เติบโตตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้หรือเติบโตน้อย ความเสี่ยงของประเทศไทยในการรับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลกหรือภูมิภาคที่อาจจะเกิดขึ้นจะทำได้ยาก

“รัฐบาลคงจะคาดหวังจากการเก็บภาษีมาเป็นรายได้ เพื่อรองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคตไม่ได้ เพราะหากมาดูตัวเลขรายได้ของประเทศจากภาษี ประเทศไทยมีรายได้จากเก็บภาษีราว 13.7% เมื่อเทียบกับจีดีพี ซึ่งน้อยมากเพราะลดลงกว่าเมื่อก่อนที่อยู่ราว 17% ของจีดีพี เมื่อเทียบกับในประเทศพัฒนาแล้ว มีการเก็บภาษีได้ราว 35% ของจีดีพี ดังนั้นถือเป็นความเสี่ยงมากขึ้นของประเทศในการรับมือกับวิกฤตในอนาคต พูดง่ายๆ คือ เราใช้จ่ายเกินตัวแต่มีรายได้ต่ำ” นายจุลพงศ์ กล่าว

นายจุลพงศ์ กล่าวต่อว่า ความเสี่ยงเรื่องที่ 2.การขาดงบประมาณสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากของรัฐบาล เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรและคนชั้นกลาง คนยากจน และการช่วยเหลือเอสเอ็มอี หากเราไม่สามารถยกระดับเกษตรกรและคนยากจนขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางได้ ประเทศไทยก็ไม่มีทางที่จะขับเคลื่อนด้วยคนชั้นกลางเหมือนประเทศอื่นๆ ที่เขาสามารถข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้ และหากไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนเอสเอ็มอีในจีดีพีให้มากขึ้น ประเทศไทยก็เดินหน้าต่อได้ยาก และหากเป้าหมายของการแจกเงิน 5 แสนล้านบาทไม่สำเร็จ เศรษฐกิจไม่โตตามที่รัฐบาลคาดไว้ รัฐบาลนี้หรือรัฐบาลชุดหน้าก็จะไม่มีเงินมากพอที่จะดูแลคนยากจนและเกษตรกรได้ทั่วถึงอีกต่อไป ดูตัวอย่างง่ายๆจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปลายปีที่แล้ว พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศไทยมีหนี้โดยเฉลี่ย 450,000 บาทต่อครัวเรือน ดังนั้นการแจกเงินตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 10,000 บาท โดยห้ามไม่ให้ใช้ในการชำระหนี้ คงไม่ได้ช่วยเกษตรกร

Advertisement

นายจุลพงศ์ กล่าวว่า ความเสี่ยงที่3. การทุจริตคอร์รัปชัน ที่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของไทยยังมีช่องว่างเยอะมาก เช่น การจัดทำซุปเปอร์แอป ซึ่งรัฐบาลเพิ่งจะบอกว่าจะสร้างขึ้นใหม่ ใครจะเป็นจัดทำ หากจะให้เอกชนเข้ามาทำ มีการจัดจ้างแล้ว หรือยัง ในเมื่อจะลงทะเบียนผู้ค้าในไตรมาส 3 ซึ่งจะเริ่มเดือนก.ค.แล้ว หรือถ้ามีแล้ว ผ่านการประกวดราคาเมื่อใด ระบบบล็อกเชนที่อ้างว่าจะใช้นั้นไม่มีคนกลาง เราตรวจสอบไม่ได้ว่าใครทำอะไร แล้วระบบที่รัฐบาลจะนำมาใช้กับโครงการ จะตรวจสอบได้หรือไม่ เกิดความเสี่ยงการคอร์รัปชัน จึงเป็นเดิมพันที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ

“ชาวบ้านเขาฝากมาถามว่ารัฐบาลกำหนดว่าคนที่ได้รับจากงานก็ต้องมีรายได้ต่ำกว่า 70,000 บาทต่อเดือนถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการแจกเงิน ตัวเลขนี้มาจากไหน เราไม่เคยได้รับการอธิบายจากรัฐบาลเลย แล้วไม่รู้จะเปลี่ยนต่อไปอีกหรือไม่ ทำไมคนที่มีรายได้เกิน 70,000 บาท ต้องมารับจ่ายหนี้”นายจุลพงศ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ในเงื่อนไขของรัฐบาล มีข้อสังเกตอะไรบ้าง นายจุลพงศ์ กล่าวว่า รัฐบาลเปลี่ยนเงื่อนมาโดยตลอด และในที่สุดเราก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเงื่อนไขอีกหรือไม่ ตนกังวลว่าเงื่อนไขที่ออกมานั้น ร้านหาบเร่แผงลอยจะไม่ได้รับเหมือนตอนสมัยโครงการคนละครึ่ง ส่วนเงื่อนไขล่าสุดจะเอื้อนายทุนหรือไม่นั้น ตนเห็นว่า ทำให้โอกาสของร้านค้าขนาดเล็กที่มีน้อยอยู่แล้ว ตัดโอกาสลงไปมากขึ้น ตนไม่ขอพูดว่าเอื้อใคร เราควรจะดูร้านค้าขนาดเล็ก อย่างเมื่อวาน(17 เม.ย.)ตนผ่านร้านค้าขนาดเล็ก เห็นมีคิวอาร์โค้ดห้อยอยู่ แต่เราจะไม่เห็นแบบนี้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image