เศรษฐา ขอโทษ ‘ปานปรีย์’ หากทำให้ผิดหวัง ประสานคนใหม่แทนแล้ว เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพื่อไทย

‘เศรษฐา’ เปิดตึกไทยแจงปรับ ครม. เผย ส่งข้อความผ่านกลุ่มงานต่างประเทศขอโทษ ‘ปานปรีย์’ ถ้าทำให้ไม่สบายใจ บอกได้คุยกันก่อนปรับ ครม.แล้ว ชี้มีทั้งคนสมหวัง-ผิดหวัง พร้อมรับผิดชอบ แย้มมองหาคนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ดีกรี การทูต-การเมือง ทำงานเบื้องหลัง ‘เพื่อไทย’ มานาน ยืนยันปรับครั้งนี้ไม่ผิดฝาผิดตัว พร้อมถกขุนคลังคนใหม่บ่ายนี้เร่งใช้งบ 5 เดือนให้เร็ว

เมื่อเวลา 08.10 น. วันที่ 29 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ ลาออกหลังปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ เพียงตำแหน่งเดียว ว่า เรื่องของโผอย่างที่บอก ถ้าพร้อมแล้วก็บอก ซึ่งเป็นเรื่องของขั้นตอนที่จะต้องได้รับการโปรดเกล้าฯลงมา บางทีผู้สื่อข่าวถามมาอาจไม่เหมาะสมที่ตนจะพูดก่อนที่จะมีการโปรดเกล้าฯกันมา ขอให้เข้าใจด้วยตรงนี้ ส่วนเรื่องของนายปานปรีย์ ก็เคารพในการตัดสินใจของท่าน และโดยส่วนตัวของตนก็ได้รู้จักกับท่านมาหลายสิบปี ลูกก็เป็นเพื่อนกัน จริงๆ ส่วนตัวรักชอบกันดี ก็เคารพในการตัดสินใจของท่าน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนนายปานปรีย์จะเผยแพร่หนังสือลาออกก่อนที่จะส่งให้กับนายกฯหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตามที่ได้ยินก็เป็นอย่างนั้น เมื่อถามว่า แสดงถึงความไม่พอใจหรือเปล่า นายเศรษฐากล่าวว่า “ผมถือว่าผมพูดในแง่องค์รวมมากกว่า ในการที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ หรือ ครม.ต่างๆ ผมเชื่อว่าก็คงมีคนที่พอใจ ไม่พอใจ สมหวัง และไม่สมหวัง จริงๆ แล้วผมอยากจะโฟกัสในสิ่งที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมาด้วยเวลา 7-8 เดือนที่ผ่านมาดีกว่า ในเรื่องที่ท่านทำมาและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติผมเชื่อว่ารัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนก็จะมาสานต่อในเรื่องดีๆ เหล่านี้“

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Advertisement

‘ปานปรีย์’ เปิดใจรับลาออกจากรมว.ต่างประเทศจริง ลั่นอยากรักษาหลักการ

ปานปรีย์ไขก๊อก ‘รมว.บัวแก้ว’ แจงพ้นรองนายกฯ ทำงานยาก

เมื่อถามว่า ก่อนที่จะปรับ ครม.นายกฯได้มีการพูดคุย หรือแจ้งกับนายปานปรีย์ก่อนหรือไม่ และหลังที่นายปานปรีย์ลาออกได้มีการพูดคุยกันแล้วหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า “ขอตอบคำถามหลังก่อน ผมได้มีการส่งข้อความไปหานายปานปรีย์ในกรุ๊ปที่เกี่ยวกับเรื่องของการต่างประเทศ ผมบอกว่าผมขอโทษถ้าเกิดผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมาและเรื่องที่ถามว่าได้มีการแจ้งนายปานปรีย์ก่อนที่จะปรับ ครม.หรือไม่นั้น อย่างที่ผมเรียนเมื่อวันศุกร์ที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมาได้มีการเชิญหลายๆ ท่านมาพูดคุยกัน และนายปานปรีย์ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ท่านที่เรียกเข้ามาพูดคุยกัน ผมเชื่อว่าวันนั้นก็เป็นเรื่องของการสนทนาระหว่างบุคคลสองคนแล้วกัน ผมมั่นใจว่าผมพูดอะไรไป และผมเชื่อว่าในฐานะนายกฯผมมีความชัดเจนในเรื่องของการที่ผมได้มีการบอกกล่าวอะไรไป

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะหาบุคคลมาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศโดยเร็วใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า “ใช่ครับ” ซึ่งจะต้องมีการทูลเกล้าฯรายชื่อใหม่ เมื่อถามว่า ระหว่างนี้นายกฯจะดูแลเองหรือมอบหมายใคร นายเศรษฐากล่าวว่า ตามประกาศเก่าของ ครม. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ จะดูแลไป

เมื่อถามว่า ได้มองหาบุคคลใหม่แล้วหรือยัง นายเศรษฐากล่าวว่า มองแล้วและมองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว (28 เม.ย.) เมื่อถามว่า ได้หรือยัง นายเศรษฐากล่าวว่า ยังไม่ได้ ซึ่งต้องมีการผ่านคณะกรรมการคัดกรองและอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติหลายอย่าง ไม่อยากจะให้เป็นการบอกไปแล้ว เดี๋ยวจะเกิดความสมหวังผิดหวังอีก ต้องเคารพในแง่กระบวนการขั้นตอนต่างๆ ที่มีมา ยืนยันว่าจริงๆ แล้วทั้งหมดนี้เข้าใจว่าคงจะต้องมีคนไม่ใช่แค่นายปานปรีย์ท่านเดียว คงมีหลายท่านที่จะมีสมหวังและอาจจะมีไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าตนรับผิดชอบ และต้องมีการพูดคุยกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มองไว้เป็นคนในพรรคหรือคนภายนอกการเมือง นายเศรษฐากล่าวว่า พูดลำบาก เพราะจริงๆ แล้วท่านเองอยู่ในแวดวงของการทูตมาและแวดวงการเมือง ก็อาจจะเป็นคนทำงานข้างหลังของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด และจิตวิญญาณแน่นอน คิดถึงประโยชน์พี่น้องประชาชน

เมื่อถามว่า นายปานปรีย์ให้เหตุผลว่า การที่เป็น รมว.ต่างประเทศและต้องควบรองนายกฯด้วยเพื่อความน่าเชื่อถือ นายเศรษฐากล่าวว่า ก็มีเหตุมีผล แต่ทุกๆ กระทรวงเองก็อยากจะมีการควบด้วยในตำแหน่งรองนายกฯหรือเปล่า ซึ่งหลายๆ ตำแหน่งจะต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงานและบุคคลทั้งหลาย ปัจจุบันนี้เราก็มีรองนายกฯ 6 ท่านแล้ว เชื่อว่าเพียงพอ แล้วมีกี่กระทรวงใช่ไหม ถ้าทุกๆ กระทรวง 9 กระทรวงต้องมีรองนายกฯด้วยก็คงเป็นไปไม่ได้

นายเศรษฐากล่าวว่า ในแต่ละรัฐบาลมีทั้งรองนายกฯควบ รมว.ต่างประเทศเหมือนกัน ตนขอใช้คำว่าอำนวยความสะดวก หรือมีการช่วยเหลือผลักดันเรื่องต่างๆ หากจะต้องมีการทำงานข้ามกระทรวง เช่น วีซ่าฟรี อาจจะต้องมีการทำงานข้ามไปถึงกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคงด้วยเหมือนกัน เรื่องของการทำเขตการค้าเสรี (FTA) ก็มีกระทรวงพาณิชย์ด้วย มีผู้แทนการค้าไทย ซึ่งเชื่อว่าเราทำงานเป็นทีมได้อยู่แล้ว และใช้คำว่าความจำเป็นดีกว่า ที่จะต้องมีการควบ ตนถือว่าอาจจะไม่จำเป็น แต่อย่างที่บอกหลายๆ เรื่องมุมมองของแต่ละคนแตกต่างกันไป และเราเองก็มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป และคิดว่าเราควรจะยึดโยงในเรื่องความเป็นมิตรดีกว่า และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อย่างที่ได้เรียนถ้าตนทำงานแล้วไม่พอใจก็ได้ขอโทษท่านไปแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องความเห็นต่าง แต่ทั้งหมดนี้ตนรับผิดชอบและจะพยายามดำเนินการต่อไปด้วยจุดมุ่งหมายเอาประโยชน์ประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

เมื่อถามว่า รู้สึกเสียดายนายปานปรีย์หรือไม่ เพราะได้รับคำชื่นชมและเป็นที่ยอมรับ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านว่าทำงานได้ดี นายกฯกล่าวว่า “ผมเชื่อว่าตรงนี้ผมเสียดายทุกคนที่ต้องมีการเปลี่ยนออกไป แต่ในบริบทของการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ช่วงเวลาที่เราบริหารประเทศมันมีความจำเป็น หรือมีความต้องการของการแก้ไขปัญหา จึงต้องมีการเปลี่ยนบุคลากร ไม่ใช่แค่ฝ่ายบริหารอย่างเดียว ฝ่ายนิติบัญญัติเองก็ต้องมีการปรับเพื่อให้บุคคลที่เหมาะสมและมีความชำนาญมากกว่าในด้านนั้นๆ เข้าไปทำหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าท่านที่ถูกปรับออกไม่มีความสามารถในการบริหาร แต่อย่างที่บอกรัฐบาลนี้อยู่ 4 ปี และในอดีตก็ไม่ใช่ว่าท่านออกไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก ก็มีหลายๆ เคสที่ออกไปแล้วได้กลับมาอีก

ผู้สื่ข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้นายกฯเคยบอกว่าปรับ ครม.ครั้งนี้จะไม่ผิดฝาผิดตัว มั่นใจใช่หรือไม่ว่าไม่ผิดฝาผิดตัว นายกฯกล่าวว่า มั่นใจ แต่แน่นอนมุมมองของแต่ละคนมีความเห็นและเข้าใจในบุคคลนั้นๆ ที่เข้ามาทำงานแตกต่างกันไป แต่ตนมั่นใจว่าบุคคลที่ดึงเข้ามาทำงานเป็นคนที่มีความสามารถและมีความเชี่ยวชาญตรงตามกระทรวงทุกอย่าง

เมื่อถามว่า ได้มีการเตรียมตำแหน่งปลอบใจสำหรับรัฐมนตรีที่หลุด ครม.หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก็การเตรียมงานและเดี๋ยวต้องมีการพูดคุยกันในพรรค ยืนยันว่าตนไม่ได้มีความขัดแย้งส่วนตัวกับรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ว่าคงมีคนผิดหวังและสมหวังอย่างที่ตนบอก และเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องบริหารเรื่องของความคาดหวังและเรื่องของหน้าที่ใหม่ควบคู่ไปกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้วย

เมื่อถามต่อว่า ได้มีการพูดคุยกับ น.ส.แพทองธารก่อนหน้านี้หรือไม่ว่าอาจจะมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นหลังการปรับ ครม. นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ได้มีการพูดคุยกันตลอด วันหนึ่งสองถึงสามครั้งก็มีในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรี มีการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย

เมื่อถามต่อว่า มีรัฐมนตรีอีกหนึ่งคนที่แสดงความไม่พอใจคือ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว เพราะช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่การหาเสียงและการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคก็ควบคู่กันมาตลอด นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ใช่นายแพทย์ชลน่านเพียงคนเดียว ยังมีนายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ช่วยทำงาน เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอดในช่วงการเลือกตั้ง

“ผมก็เคยพูดว่าพี่หมอชลน่านเองเป็นคนที่ช่วยติว เวลาที่ผมจะลงพื้นที่รวมถึงการปราศรัยต่างๆ เราก็ต่อสู้ด้วยกันมา แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว หรือมีความขัดแย้งอะไรแต่ก็เข้าใจว่าท่านคงมีความผิดหวัง แต่เดี๋ยวก็คงมีการพูดคุยกัน ก็หวังว่าทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้”

ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งแรกที่นายกฯจะพูดกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่คืออะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีสองขั้นตอน โดยจะเป็นการส่วนตัวก่อนว่าแต่ละท่านตนมีความคาดหวังอย่างไร และบางคนรู้จักกันมาก่อน เคยทำงานกันมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีจุดแข็งและจุดที่ต้องปรับปรุงคืออะไร และในทางเดียวกันตนก็จะฟังด้วยว่าที่ท่านทำงานมากับตนและถูกเปลี่ยนกระทรวง หรือเข้ามาใหม่ มองว่าตนมีความบกพร่องอย่างไร เรื่องไหน ตนจะได้นำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข เพราะการสื่อสารเป็นเรื่องสองทาง ซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าในแง่ของการพูดคุยเจรจากับรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ ส่วนในองค์รวมที่เราพูดคุยกันในวันที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้น ก็แน่นอนว่าจะต้องมีการพูดคุยถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก และเรื่องการประสานงานระหว่างกระทรวงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันเรื่องการทำงานไม่ใช่ว่าจะสามารถจัดทำงานได้กระทรวงเดียว บางเรื่องต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกระทรวงในการผลักดันข้อกฎหมาย หรือในแง่ของการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายหลักของรัฐบาล

ผู้สื่อข่าวขอให้นายกรัฐมนตรีพูดถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ควรจะไปพูดคุยในสถานที่ที่เหมาะสมจะดีกว่า เพราะแต่ละคนอาจจะไม่อยากให้พูดว่าจุดอ่อน จุดแข็งคืออะไร เป็นเรื่องที่ต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคล เป็นเรื่องของการบริหารงาน และตนเองก็น้อมรับในเรื่องที่ตนเองอาจจะบกพร่อง หรืออาจทำไม่ถูกต้อง ไม่ดีก็น้อมไปปฏิบัติอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า เหตุใดจึงมีการตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถึงสามคน โดยการโยก นายจักรพงษ์ แสงมณี จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อย่างที่บอกความเข้าใจของตนก็คือ นายปานปรีย์เหลือเพียงตำแหน่งเดียวคือรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะได้โฟกัสงานมากยิ่งขึ้น ความต้องการในส่วนของรัฐมนตรีช่วยก็อาจจะน้อยลงไป และการที่ให้นายจักรพงษ์มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก็เป็นไปตามที่ผู้สื่อข่าวคาดการณ์ คือให้มาดูแลเรื่องงบประมาณ เพราะเคยเป็นเลขานุการอดีตรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง สมัย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งมีความชำนาญในด้านนี้อยู่แล้ว ก็จะได้มาช่วยผลักดันนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่างบประมาณปี 2567 ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภา ทำให้เหลือเวลาเพียงห้าเดือนในการใช้งบประมาณ ปี 2567 ซึ่งถือว่ามีความท้าทายที่ต้องเร่งจัดการเรื่องงบประมาณไปสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้

และบ่ายวันเดียวกันนี้ ตนจะเชิญนายพิชัย ชุณหวชิร ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอธิบดีกรมบัญชีกลาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระจายงบประมาณอยู่แล้วมาพูดคุยถึงความจำเป็นเร่งด่วนว่ามีอะไรบ้าง ทุกอย่างจะพยายามทำให้ดีที่สุดและยืนยันว่าจะต้องมีการพูดคุยกันและหวังว่าทุกอย่างจะจบได้ด้วยดี

เมื่อถามว่า มีความกังวลเรื่องของแรงกระเพื่อมหรือไม่ เพราะยังมีความไม่พอใจในการปรับและโยกกระทรวง นายกรัฐมนตรีย้อนถามว่า สลับตำแหน่งระหว่างใครกับใครถามให้ชัด จะได้ตอบได้ชัดเจน อย่างตรงไปตรงมา ก่อนกล่าวต่อว่า ส่วนตัวเชื่อว่าแรงกระเพื่อมความไม่พอใจก็ต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว มีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ ที่พอใจคงไม่พูด ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วก็ต้องเคารพกับตำแหน่งที่เข้ามาทดแทน ส่วนคนที่ไม่พอใจก็เป็นหน้าที่ของตนต้องอธิบาย และพยายามที่จะหาตำแหน่งใหม่ หรือหางานที่เหมาะสมรองรับ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นทีมไทยแลนด์ เราเป็นทีมงานที่มาทำงานเพื่อประชาชน

เมื่อถามว่า ในอนาคตภูมิคุ้มกันที่ดีของรัฐมนตรีคือการทำงานเพื่อประชาชนใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันว่า ใช่ และตนยืนยันมาโดยตลอด และยึดโยงเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านไม่ว่าจะเป็นคนเก่า หรือว่าที่คนใหม่ก็เข้าใจอยู่แล้วถึงความเดือดร้อนใจของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นเรื่องการใช้ความชี้วัดและระยะเวลาในการทำงานให้สำเร็จ เรื่องการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตยึดโยงกับพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

เมื่อถามว่า การเพิ่มรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังมาอีกหนึ่งคน เพื่อมาช่วยดูเรื่องของดิจิทัลวอลเล็ตที่จะต้องรอบคอบ และสัปดาห์นี้นายกฯจะมีการเรียกประชุมเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครับ ความจริงแล้วกระทรวงการคลังมีภารกิจเยอะมาก ขณะที่นายพิชัยเองก็ควบรองนายกรัฐมนตรีด้วย ทำให้มีภารกิจที่จะต้องดูแลหลายอย่าง และมีหน่วยงานของรัฐอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งจะต้องมีการแบ่งงานกัน เพราะฉะนั้นเชื่อว่าทั้งสามคนมีงานล้นมืออยู่แล้ว ขณะที่ว่าที่รัฐมนตรีคนใหม่อย่างเช่นนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ก็เคยอยู่กระทรวงการคลังมาก่อน และเป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทยและทีมงานเศรษฐกิจอยู่แล้ว และมีความชำนาญงานอยู่แล้ว ตนเชื่อว่าเป็นคนที่มีบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการทำงานใหม่และการแบ่งงานใหม่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งตนให้เกียรติทุกคนอยู่แล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image