อนุสรณ์ ลั่น ‘ต้องถอนพิษอย่างระวัง’ เชื่อ ส.ว.ไม่จำเป็น ถ้าจะมี ‘ต้องเลือกตั้ง’

เกศินี เปิดเวที 124 ปีปรีดี ‘เก่าไปใหม่มา’ อนุสรณ์ ลั่น ‘ต้องถอนพิษอย่างระวัง’ ยัน ส.ว.ไม่จำเป็น ถ้าจะมี ‘ต้องเลือกตั้ง’ แนะเชื่อมั่นสติปัญญาประชาชน

ในวาระครบรอบ 124 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – พ.ศ. 2567) รัฐบุรุษอาวุโส ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และผู้ร่างธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับชั่วคราว พ.ศ.2475 โดยมีการกำหนดให้วันที่ 11 พฤษภาคมของทุกปีเป็น ‘วันปรีดี พนมยงค์’ นั้น

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานรำลึกถึงคุณูปการของ ศ.ดร.ปรีดี

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศตั้งแต่เวลา 10.30 น. บริเวณโถงทางเข้าหอประชุมศรีบูรพา มีการจำหน่ายหนังสือและของที่ระลึกโดยสถาบันปรีดี พนมยงค์ และตั้งโต๊ะให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ ผู้ที่สนใจลงสมัคร ส.ว.ชุดต่อไป โดยช่วยตรวจสอบเช็กลิสต์คุณสมบัติที่ต้องมีและเอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อเดินทางไปสมัครวันจริง นอกจากนี้ iLaw ยังมาร่วมจัดนิทรรศการ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของ ส.ว.ชุดพิเศษที่หมดวาระ ว่าภายใน 5 ปีที่ผ่านมา ทำอะไรและทิ้งมรดกอะไรไว้เราบ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ว. ตลอดจนนักวิชาการ นักศึกษา และประชาชน ร่วมงานคับคั่ง อาทิ นางดุษฏี พนมยงค์ บุญทัศนกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง, พันตรีพุทธินาถ พหลพ พยุหเสนา, ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, รศ.พนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์, น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กทม., นายสงวน คุ้มรุ่งโรจน์ นักข่าวอาวุโส และนายวรัญชัย โชคชนะ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น

Advertisement

จากนั้นเวลา 13.00 น. รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเปิดงาน ความว่า นับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่ประชาคมธรรมศาสตร์และสาธารณชน จะได้รับฟังแนวทางวิชาการที่ทรงคุณค่า และเป็นประโยชน์ต่อสังคมจากทีมวิทยากรในวันนี้

“ดิฉันขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ร่วมกันจัดงานในวันนี้ และขอเปิดการเสวนาทางวิชาการ เรื่อง ‘เก่าไปใหม่มา ส.ว.ชุดใหม่ อนาคตประชาธิปไตย อนาคตประเทศไทย’ ณ บัดนี้” รศ.เกศินีกล่าว

จากนั้น เวลา 13.05 น. รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ และ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในหัวข้อ “ที่มา ส.ว. : การต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตย กับอภิชนาธิปไตย” ความว่า ที่มา อำนาจหน้าที่ ของวุฒิสมาชิก (ส.ว.) ที่ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 นั้น มีจุดมุ่งหมายชัดเจนเพื่อต้องการสืบทอดอำนาจ รักษาแนวคิดแบบอภิชนาธิปไตยให้ดำรงอยู่ต่อไปในระบบการเมืองไทย

แต่สิ่งที่ได้ก็หาใช่ การปกครองของอภิชนไม่ และ อภิชน เหล่านี้ก็ไม่ได้ดีอย่างที่กล่าวอ้าง หลายท่านทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทุจริตคอร์รัปชัน สนับสนุนเผด็จการทหารพม่า ลอกวิทยานิพนธ์ แสวงหาผลประโยชน์จากผู้อำนาจ แทนที่จะเป็น การปกครองโดยคนดีมีความรู้ความสามารถ กลับได้ ได้การปกครองภายใต้ระบอบพวกพ้องบนฐานวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์ หรือเป็นระบอบคณาธิปไตย

“เราต้องเข้าใจก่อนว่า ความเชื่อและแนวคิดแบบ ‘อภิชนาธิปไตย’ไม่ใช่ ‘ประชาธิปไตย’ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป เพียงแต่เป็นระบอบการปกครองที่ไม่เชื่อในประชาชน ไม่มั่นใจในคุณภาพของราษฎร ไม่ศรัทธาเชื่อมั่นในวิจารณาญาณของมวลชน  

อภิชนาธิปไตย เป็นระบอบการปกครองโดยคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่คิดหรือเชื่อว่า ฉลาดกว่า ดีกว่า เก่งกว่า ประชาชนสามัญชนส่วนใหญ่อริสโตเติล เพลโต ใช้เรียกระบบการปกครองที่กลุ่มพลเมืองที่คิดว่าตัวเองมีคุณภาพดีกว่าสามัญชนทั่วไป ผ่านการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วน ให้ขึ้นมาปกครองและไม่มีการสืบทอดอำนาจผ่านสายตระกูล ว่า ‘อภิชนาธิปไตย'” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า อภิชนาธิปไตย ตามความหมายดั้งเดิม จึงเป็นรูปแบบการปกครองในอุดมคติของ การปกครองโดยคนจำนวนน้อย ขณะที่ ประชาธิปไตย เป็นรูปแบบการปกครองในอุดมคติของการปกครองโดยเสียงข้างมาก โดยคนส่วนใหญ่

“กรณีประเทศไทย ดูเหมือน ‘อภิชนาธิปไตย’ มักเป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อคณะรัฐประหารหลายคณะ ความจริงที่ซ่อนอยู่หลัง ‘อภิชนาธิปไตย’ คือ ความไม่เชื่อถือต่อเสียงประชาชน ต้องการสืบทอดอำนาจของ ‘อภิสิทธิ์ชน’ หลายกรณีเป็นการวางกับดักเอาไว้ให้กับระบอบประชาธิปไตย ที่เพิ่งถูกฟื้นฟูขึ้นมา ให้ดูอ่อนแอ วุ่นวาย ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถทำงานได้  เพื่อสร้างภาพเปรียบเทียบเห็นว่า ประเทศต้องปกครองโดย คนดีย์(ดี มี ‘ย’ และ การันต์) กลุ่มเล็ก ๆ ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ยังโง่และถูกซื้อได้

สังคมได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว ดูได้จากผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา การซื้อเสียง และ เครือข่ายอุปถัมภ์ไม่สามารถชี้ขาดผลการเลือกตั้งได้” รศ.ดร.อนุสรณ์ชี้

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า การถอนพิษของพวกที่มีความคิดเป็นปรปักษ์ต่อประชาธิปไตยต้องทำด้วยความระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นจะตกอยู่ในหลุมพรางที่เขาขุดล่อไว้

เรื่องของที่มาของวุฒิสภา มีการต่อสู้กันระหว่าง แนวคิดประชาธิปไตย และแนวคิดที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย มาตลอดระยะเวลาของพัฒนาการของการเมืองไทย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหาร คณะรัฐประหารมักต้องการสืบทอดอำนาจผ่านการใช้กลไก วุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง ซึ่งล้วนเป็นเครือข่ายพรรคพวกญาติมิตรของตัวเอง เพื่อให้คนเหล่านี้เป็นเสาค้ำประกันอำนาจเผด็จการของตัวเอง

ต่อมาเมื่อสังคมเปิดกว้างขึ้นพัฒนาการประชาธิปไตยก้าวหน้าขึ้น กลไกในการแต่งตั้ง สรรหาคัดสรร หรือ เลือกกันเอง ก็ต้องทำให้ดูเหมือนใกล้เคียงการเลือกตั้ง หรือให้ดูว่า เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย มากขึ้น

นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ถูกแต่งตั้งในยุค คสช.ก็ยังออกระเบียบที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เข้มงวดกับการแนะนำตัวของผู้สมัคร หากทำกันแบบนี้ เราจะมีกระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่มีคุณภาพได้อย่างไร

“ความจริงแล้ว บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ว่าจะเป็น ที่มาของวุฒิสมาชิก หรือ อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ล้วนมีการเขียนอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน หลอกล่อให้ ใครหลายคน ต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกกันเองอันซับซ้อนพิสดารที่สุดในโลก แล้ว อาจต้องทำผิดกฎหมาย ทำให้ คนจำนวนไม่น้อยเบื่อหน่ายการเมืองทำให้กระบวนการทางการเมืองเลือกกันเองของวุฒิสมาชิกดูวุ่นวาย และ ทำให้ ‘คณะรัฐประหาร’ และ ‘ผู้ที่มาจากอำนาจแต่งตั้ง’ โดยคณะรัฐประหารดูดีขึ้นโดยเปรียบเทียบ” รศ.ดร.อนุสรณ์ชี้

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า กระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว.ด้วยการเลือกกันเอง เป็นการมุ่งลดทอนหรือบิดเบือนเสียงประชาชน ส.ว.เองก็มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการในองค์กรอิสระ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีอำนาจเหนือรัฐสภา เหนืออำนาจของประชาชน

ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิสภาก็ได้ เราสามารถใช้ระบบสภาเดียวที่มาจากการเลือกตั้งได้ ระบบสภาเดียวนี้ เคยถูกเสนอโดยขบวนการนักศึกษาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็ได้แสดงความเห็นสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวหลายประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็มีการใช้ระบบสภาเดียวที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ราชอาณาจักรสวีเดน ราชอาณาจักรเดนมาร์ก

แต่หากจะมีสองสภา ก็ควรจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด หากเราเชื่อว่าประชาชนมีสติปัญญามากพอที่จะเลือกสมาชิกรัฐสภาที่มีคุณภาพ ก็ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิสภาคอยกลั่นกรองกฎหมาย และทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ

อย่าง ส.ว.ชุดพิเศษที่มาจากกระบวนการคัดเลือกของ คสช 100% มีการจ่ายเงินเดือน ค่าตอบแทนและผลประโยชน์ของวุฒิสมาชิก ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ ผู้ช่วยประจำตัว คณะทำงานต่างๆ ไปแล้วมากกว่า 4,000 ล้านบาท

“หากเรามั่นใจว่า ประชาชน สามารถเลือก ส.ส. ที่มีคุณภาพได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมี ส.ว. แต่อย่างใด สามารถนำเอาเงินไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาทนี้ไปพัฒนาประเทศด้านอื่นๆได้  

แต่หากเห็นว่าจำเป็นต้องมี ส.ว. ก็ควรมาจากการเลือกตั้ง ส่วนระบบการเลือกกันเองตามกลุ่มอาชีพนั้น จะไม่ได้ผู้แทนที่เหมาะสมผู้ที่มีโอกาสได้ คือ ผู้ที่มีคะแนนจัดตั้งและ ใช้วิธีบล็อคโหวต ในเมื่อมีการวางกับดักไว้เช่นนี้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้รักประชาธิปไตย จะต้องช่วยกันไปสมัคร ส.ว. เพื่อไปใช้สิทธิในการเลือกบุคคลที่เหมาะสมไปเป็นวุฒิสมาชิก เราคงจะทำได้เท่านี้ตราบเท่าที่เรายังไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยฉบับนี้ได้” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

รศ.ดร.อนุสรณ์ชี้ว่า การผลักดันให้เกิด ‘รัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน’ พร้อมกับ การล้มล้างผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2560 อันเป็นผลผลิตของคณะรัฐประหาร เป็นภารกิจสำคัญของ ขบวนการประชาธิปไตยและ ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ที่ต้องร่วมกันผลักดันต่อไป

ส.ว.ที่มาจากระบบการเลือกกันเองที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ จึงมีความสำคัญมาก หากเรามี สมาชิกวุฒิสภาที่ยึดถือหลักการประชาธิปไตยมากพอ โอกาสที่เราจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ได้ย่อมมีความเป็นไปได้

“หยุดความป่าเถื่อนทางกฎหมาย นิติสงคราม ด้วยการผลักดันให้ผู้ที่มีแนวคิดประชาธิปไตย เข้าไปเป็น ส.ว.ให้มากที่สุด อิทธิฤทธิ์ของรัฐธรรมนูญฉบับอำนาจนิยมจึงถูกหยุดยั้งได้ นั่นคือ อนาคตของประชาธิปไตย อนาคตประเทศ อนาคตของประชาชน” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image