⦁…เพราะ “เงินคงคลัง” ไม่ใช่แค่เรื่องของ “รัฐบาล” และที่รู้ความหมายไม่ใช่แค่ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เมื่อจาก “495,747 ล้านบาท” ใน 2 ปีลดเหลือ “74,907 ล้านบาท” และข้อมูลที่เปิดเผยเป็นปกติว่าเฉพาะ “เงินเดือนข้าราชการ” ก็ปาเข้าไป “เดือนละ 50,000 ล้านบาท” ขณะที่ประเทศต้องจ่ายในเรื่องอื่นๆ อีกเพียบ จึงเป็นปกติของคนที่รู้ว่า “เหมือนกระเป๋าสตางค์ของชาวบ้าน” ที่ “แฟบ” ลงไปทุกที แถม “การหามาเติมยากเย็น” ไม่ต่างอะไรกับ “มนุษย์เงินเดือนตกงาน” เกิดความกังวลจนออกมาเตือนว่าประเทศกำลังตกสภาพ “ถังแตก” จึงเป็นเรื่องไม่แปลก
⦁…หนทางที่จะคลี่คลายความกังวลคือ น่าจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” ออกมาแถลงไขให้ชัดเจนว่า “เงินเหลือเท่าไร” และ “ที่จะต้องใช้ใน 3 เดือน-6 เดือนนี้เท่าไร” พร้อมบอกให้ชัดว่า “จะหามาเพิ่มเติมจากไหนบ้าง” อันเป็นการ “อธิบายด้วยข้อมูล” ซึ่งน่าจะได้ผลมากกว่าให้ “โฆษกรัฐบาล” ออกมาถามว่า “องค์กรสื่อจะจัดการกับนักข่าวที่ถาม และสื่อที่นำเสนอเรื่องนี้อย่างไร” เพราะถ้ายังเข้าใจว่า “สื่อต้องไม่นำเสนอข้อมูลที่ก่อผลกระทบต่อรัฐบาล” โดยไม่มีความคิดว่า “ภาระหลักของสื่อคือเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน” ย่อมยากที่จะพูดกันเข้าใจในเรื่อง “ปฏิรูปสื่อ”
⦁…หรืออย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกกับเด็กๆ ว่า “การศึกษาของเราทุกวันนี้มีคนเก่งอยู่มาก แต่ยังขาดจินตนาการ” มีพรรคพวกมากระซิบว่า “อยากถามว่าแล้วการปกครองแบบไหนที่ทำลายจินตนาการของผู้คน” แต่ไม่กล้าถาม เพราะกลัว “ท่านนายกฯ” จะตีความว่าเป็นการ “จับผิด” มากกว่า “วิจารณ์ด้วยข้อมูล” ซึ่งจะทำให้นอนไม่หลับ กระทบต่อสุขภาพโดยรวม
⦁…น่าเห็นใจชาวบ้านทั่วไปอยู่เหมือนกัน ที่รัฐบาลพยายามอธิบายว่า “ความมั่นคงทางการเงินของชาติ วัดกันที่ทุนสำรอง” แล้วไปให้น้ำหนักกับ “นักวิชาการ” ที่บอกว่า “ทุนสำรองเป็นเรื่องของหลักประกันในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา เกี่ยวน้อยมากกับฐานะทางการเงินที่จะเอามาใช้จ่ายในการบริหารจัดการประเทศ” มากกว่า เพราะการเร่งหารายได้ด้วยวิธีการใหม่ของรัฐที่เป็นข่าวอยู่ เป็นใครก็ต้องคิดไปในทางเพราะ “เงินในกระเป๋ามันร่อยหรอ” ไว้ก่อน
⦁…เป็นเรื่องที่ต้อง “ลุ้น” ว่าทีมงาน “ป.ย.ป.-ปฏิรูป ยุทธศาสตร์ ปรองดอง” แต่งตั้งเพิ่มขึ้นมา 40 คน จากคณะกรรมการเดิมที่ “ส่วนใหญ่เป็นคนจากกองทัพ” จะเป็นหน้าของคนที่เป็นกลุ่ม “รอวาสนาการได้มาซึ่งอำนาจจากการแต่งตั้ง” ที่เห็นๆ เสนอหน้ากันมาสลอนกันก่อนหน้านั้นหรือไม่ เพราะคำตอบที่ได้ จะสะท้อนว่า “ความหวังพอมีหนทางจะเป็นจริงได้หรือไม่” ด้วยหลายหน้าตาโผล่เข้ามาก็ส่ง “สัญญาณล้มเหลว” ให้สัมผัสได้
⦁…แต่ที่ลุ้นกันมากกว่าน่าจะเป็น “เลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้จริงเมื่อไร” ด้วยขณะที่ วิษณุ เครืองาม บอก “1 ปีหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งถูกตีความว่า “น่าจะหมายถึงอย่างน้อย” แล้ว มีชัย ฤชุพันธุ์ บอกว่า “ยังไม่รู้กฎหมายลูกจะเสร็จทันปีนี้หรือไม่” และย้ำว่า “ที่สำคัญเมื่อกฎหมายลูกออกมาแล้ว ยังต้องไปดูว่า กกต.กับพรรคการเมืองจะใช้เวลานานเท่าไรในการปรับให้เข้ากับเนื้อหาใหม่” แปลว่า “มีความจำเป็นต้องใช้เวลา” ส่วนเสียงของใครต่อใครที่บอกว่า “กลับสู่รัฐบาลจากการเลือกตั้งสำคัญกว่า” เป็นเสียงที่ “ไม่มีใครเชื่อ”
⦁…เริ่มสตาร์ตแล้ว “ปฏิบัติการปรองดอง” โดยคณะกรรมการที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งหัวโต๊ะ ดูจะเป็นงานที่เดินเร็ว สำหรับนักการเมือง มีหน้าที่ “เข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง” ไปให้ข้อมูลว่า “อะไรคือปรองดอง” หน้าที่สรุปหลังจากนั้นว่าจะ “เอาอย่างไร” เป็นเรื่องของคณะกรรมการ โดย “พรรคการเมือง” ตกอยู่ในฐานะ “ผู้ได้เสนอ”
ชโลทร