พิชิต แฉวงจรอุบาทว์ จ้องล้มนายกฯเศรษฐา ท้า 40 ส.ว.เจอทีละคน แจงยิบชิงลาออกหรือไม่

พิชิต แฉ ‘วงจรอุบาทว์’ ยกปมคุณสมบัติ รมต.หวังล้มนายกฯ ท้า 40 ส.ว.เจอทีละคน ลั่นขอเป็นองครักษ์ป้องนายกฯเพราะไม่เกี่ยวข้อง เผยไม่ยึดติดเก้าอี้ หากพิสูจน์ว่าขาดคุณสมบัติ

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 20 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เปิดใจก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณี 40 ส.ว.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติรัฐมนตรี รวมถึงกระแสข่าวให้ลาออกว่า ต้องขอโทษทุกคนที่ไม่ได้รับสายถึงกรณีดังกล่าวเนื่องจากติดภารกิจอยู่ที่องค์การสหประชาชาติในการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ในการต้อนรับผู้นำพระสงฆ์จาก 73 ประเทศ มีโปรแกรมติดกันแน่นตลอดทั้งวัน จึงขอเอาบุญมาฝากและเชิญชวนทุกคนร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ขอบอกบุญกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ตอนนี้ต้องทำบุญกันเยอะๆ

นายพิชิตกล่าวว่า ขอชี้แจงเรื่อง 40 ส.ว.ยื่นผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องคุณสมบัติ โดยมี ส.ว.หลายฝ่ายออกมาท้วงติง ต้องขอพูดจากความเป็นตัวตนของตัวเองที่ทำงานแบบมืออาชีพ ถึงประเด็นที่เกี่ยวกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือปรับ ครม.ไม่ได้มีความผิดอะไร และไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากนายกฯคนอื่นในอดีต เวลาจะตั้ง ครม.ต้องมีกระบวนการทางการบริหารราชการแผ่นดิน บุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีต้องกรอกรับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะต้องตรวจสอบ โดยส่งเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตรวจประวัติว่าไปทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่

Advertisement

นายพิชิตกล่าวว่า สิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร ดังนั้น สลค.และ ป.ป.ช.ไม่สามารถช่วยใครได้ ถึงอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ และเวลาที่จะประมวลว่าใครซื่อสัตย์และมีจริยธรรมหรือไม่ต้องดูทุกเรื่อง หากมีเรื่องไหนที่สงสัยจึงถามคณะกรรมการกฤษฎีกา นายกฯก็ทำตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย แล้วจึงมาสรุปว่าจะตั้งรัฐมนตรีคนใดได้ หรือไม่ได้ และการที่ตั้งตนก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร ไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้นคนนี้ แต่มาเพราะสติปัญญาของตน มาเพราะมีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิดทำชั่วมายืนที่จุดนี้ แม้นายกฯอยากจะตั้ง แต่ถ้าตนมีปัญหาก็ตั้งไม่ได้ และหน่วยงานที่ตนได้กำกับดูแลก็มีแต่ตัวหนังสือและกฎหมาย ส่วนการกล่าวหาเรื่องประเด็นจริยธรรม ให้ไปดูช่องทางกฎหมายให้ดี เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นแบบอย่างไว้แล้ว

“ถาม ส.ว.มาเอาเรื่องนายกฯทำไม เพราะท่านตั้งใจทำงาน และขอพูดอย่างไม่อายว่าผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯเศรษฐา และเป็นองครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯมาแล้ว ขอให้เอาความจริงมาพูดกันโดยไม่มีวาระทางการเมือง เราไม่ควรเอาเรื่องกับนายกฯ และขอวิงวอนให้นายกฯได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน และทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ผมทำงานกับนายกฯมา 6-7 เดือน อยู่บนเนื้องานไม่เคยประจบสอพลอ และนายกฯเป็นคนทำงานอย่างตรงไปตรงมา ใช้งานเป็นวัคซีน และทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย” นายพิชิตกล่าว

นายพิชิตกล่าวว่า ต้องขอบคุณ และไม่โกรธ 40 ส.ว.ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะทำให้ตนได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกระทำมาตั้งแต่ปี 2551 และโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต เพราะถูกตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ถูกตัดสินโดยศาลเดียวแล้วจบ ทั้งที่มี 3 ศาล จึงเป็นความขมขื่นในใจ และบอกตัวเองก่อนมาเป็นรัฐมนตรีว่าถ้าถูกตั้งกระทู้ถามในสภา หรืออธิบายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถตอบได้ทุกคำถาม ตนไม่ได้หวั่นไหวเพราะมั่นใจว่าหลักของความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมีจริง และคำวินิจฉัยของศาลจะผูกพันทุกองค์กร ต่างจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้เข้าทางของตนและรอจังหวะนี้มานานแล้ว

Advertisement

นายพิชิตกล่าวต่อว่า อยากให้มีการตัดสินเป็นบรรทัดฐาน หากศาลรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาคดีใหม่จะเป็นโอกาสที่ตนได้ดีแคลร์ชีวิตใหม่ และในคำสั่งของศาลฎีกา ถ้ามีตรงไหนระบุว่าตนเป็นคนหิ้วถุงเงิน 2 ล้าน จะลาออกในวันนี้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ที่ผ่านมามีการติติงตนแบบคนไร้สติโดยไม่ได้หาดูประเด็นในคำสั่ง และการไต่สวนในวิธีพิจารณาว่าละเมิดอำนาจศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ไม่เคยมีบทบัญญัติให้เอาประมวลกฎหมายอาญามาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี และในคำสั่งของศาลฎีกาที่ตนติดใจคือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ที่ปรากฏใส่คำว่า “ผมน่าจะรู้” จึงมีคำสั่งคุมขัง 6 เดือน ทั้งที่คำว่า “น่าจะรู้” คือมีข้อสงสัย ที่ควรจะยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะเป็นสมมุติฐาน ทั้งที่เรื่องของตนเป็นคดีแพ่ง

นายพิชิตกล่าวด้วยว่า ตนจะอยู่หรือไปจากตำแหน่งไม่ยึดติด เพราะถือว่าต่อสู้เพื่อกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในชีวิต จึงต้องขอบคุณ 40 ส.ว.ที่ทำเรื่องนี้ให้เข้าทางตน และขอให้ย้อนกลับไปดูในคำสั่งของศาลให้ดี จะพบข้อสงสัยและข้อพิรุธอีกมาก และต้องถามว่าสมัยที่ตนเป็น ส.ส. 2 ปี 6 เดือน คนที่หมั่นไส้ หรือไม่ชอบตน ทำไมไม่ยื่นถอดถอนเรื่องจริยธรรม ส่วนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตถามว่าใช้ตรงไหนมาวัด หากไปถามกฤษฎีกาก็คงตอบไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ว่าสิ่งที่ถูกคำสั่งศาล คำว่าน่าจะเป็นที่ประจักษ์ตรงไหน ขอให้กลับไปดูในชั้นของคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีกรรมาธิการบางคน ซึ่งยังรับราชการอยู่แต่ตนไม่ขอเอ่ยชื่อได้แย้งว่าคำว่าซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์จะทำให้เป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหาในทางการเมืองได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรม วัดกันไม่ได้ ถึงต้องย้อนไปตั้งแต่การตรวจสอบประวัติว่าตนไม่มีคดี ไม่มีประวัติใน ป.ป.ช. ไม่เคยถูกฟ้องในคดีแพ่ง และโทษที่ตนได้รับเป็นเรื่องทางแพ่ง เป็นโทษตามคำสั่งศาลฎีกา และคำสั่งกับคำพิพากษาต่างกัน ไม่ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา ซึ่งในคำอธิบายของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุเรื่องคุณสมบัติได้ยกเว้นเรื่องของคำสั่ง หมายความว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี

“เรื่องที่เกิดเป็นวาระวงจรอุบาทว์ ทั้งที่นายกบริหารราชการอยู่ดีๆ แล้วจะมาทำให้ผู้นำประเทศหลุดจากตำแหน่ง ผมมีเพื่อนใน ส.ว. รู้รายละเอียดการกระทำครั้งนี้ว่ามีพฤติกรรมอย่างไร เป็นคนของใคร แต่ขอไม่พูดและขอบคุณ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ ที่ออกมาพูดความจริงว่าผมไม่ได้ต้องคำพิพากษาประพฤติผิดจริยธรรม” นายพิชิตกล่าว

นายพิชิตกล่าวว่า ส่วนข่าวลือเรื่องการลาออก ขอย้ำว่าไม่ยึดติดประโยชน์ของตน แต่ยึดมั่นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน คำตอบของเรื่องนี้เพื่อแก้วงจรอุบาทว์คือให้บุคคลเหล่านั้นไปคิดมาว่าถ้าตนลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนจะทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศและพร้อมตั้งแต่วันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองที่ต้องการล้มนายเศรษฐาใช่หรือไม่ นายพิชิตกล่าวว่า “แน่นอน” เมื่อถามย้ำว่า หากนายพิชิตลาออก แล้วนายกฯอยู่ต่อได้ก็พร้อมจะทำใช่หรือไม่ นายพิชิตกล่าวว่า เพราะวงจรอุบาทว์มาเล่นแบบนี้ ให้ช่วยกลับไปคิดว่าวันนี้มีนายกฯและบ้านเมืองปกติแล้ว มาทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงขาดนายกฯทำไม ดังนั้น คนเหล่านั้นไปคิดเอง เพราะไม่ใช่การบ้านของตน และตนจะไม่คุยอะไรให้นายกฯหนักใจ

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าไม่มีแนวคิดที่จะลาออกในวันนี้ หรือก่อนวันที่ 23 พ.ค.นี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ขอโยนโจทย์ไปให้บางคนที่อยากให้ตนอยู่ หรืออยากให้ออก ขอย้ำว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ และขอท้า 40 ส.ว.ให้มาเจอกับตนทีละคน และให้อาจารย์นักกฎหมาย 3 คน มาเป็นกรรมการ เพื่อถามว่าที่ลงชื่อไปได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกาหรือยัง เพราะบางคนลงชื่อยื่นตีความยังไม่รู้เลยว่าอะไร บางคนยกประเด็นรื้อฟื้นจำนำข้าวทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุผลเรื่องของคุณสมบัติ

เมื่อถามว่า จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯจนกว่าจะมีคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายพิชิตกล่าวว่า เราเคารพดุลพินิจศาล ไม่ก้าวล่วง และเชื่อว่าสิ่งที่พูดไปศาลรัฐธรรมนูญได้ยิน ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

เมื่อถามว่า หากระหว่างนี้มีการกดดันให้ต้องถอยจะตัดสินใจอย่างไร นายพิชิตกล่าวว่า องคาพยพที่เกี่ยวข้องก็ไปคิดก็แล้วกัน โดยไม่ขอเจาะจงไปที่ใคร แต่ให้ยืนยันให้ได้ว่าตนออกจากตำแหน่งแล้วจบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ส.ว.คือใคร นายพิชิตกล่าวว่า ตนรู้หมด ไม่ขอก้าวล่วง เอาเป็นว่ามีขบวนการในเรื่องนี้ก็แล้วกัน เมื่อถามว่า มีขบวนการล้มนายกฯ หรือล้มรัฐบาล นายพิชิตกล่าวว่า ไม่กล่าวหา แต่ข้อมูลเป็นเช่นนั้นจริง

เมื่อถามว่า วงจรอุบาทว์หมายถึงกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่ นายพิชิตกล่าวว่า ไม่ตอบคำถามนี้ ไปพิจารณากันเอง ถามว่ามีกระบวนการแบบนี้จริง ถ้าแค่ติดใจเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของตนก็แค่ยื่นเฉพาะกับตนคนเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายพิชิตให้สัมภาษณ์จบ ก่อนเดินเข้าห้องประชุม ครม.ได้ชูกำปั้นแสดงความมั่นใจในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า ไม่กังวล สบาย และตัวเบาตั้งแต่วันที่เข้ามารับตำแหน่งแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image