09.00 INDEX มติตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ สภาพ ‘ยัน’ สงครามการเมือง
มติที่ไม่เป็นเอกภาพภายในคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสะท้อนจุดเปราะบางมากด้วยความละเอียดอ่อนอย่างเป็นพิเศษของการเมืองไทยยุคหลังสถานการณ์วันที่ 22 สิงหาคม 2566
ด้านหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือ ขณะเดียวกันด้านหนึ่งภายในความร่วมมือก็สะท้อนถึงการต่อสู้
จึงนำไปสู่นิยามมี “สงคราม” บนเศษซากแห่ง “สันติภาพ”
มติ 6 ต่อ 3 รับเรื่องอันมาจาก 40 สมาชิกวุฒิสภา “เก่า” อันส่งผ่านประธานวุฒิสภา “เก่า” เท่ากับตอกย้ำถึงกระบวนการรุก ขณะที่มติ 5 ต่อ 4 ไม่จำเป็นต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่เท่ากับชี้ให้เห็นถึงลักษณะยันภายใต้การตั้งรับ
หากเป็น “สงครามสั่งสอน” ก็สะท้อนให้เห็นด้วยว่าพละกำลังที่มีอยู่ของฝ่ายที่ก่อปฏิบัติการมิได้แข็งแกร่งเหมือนเดิม จึงไม่อาจพิชิตศึกได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ภายใต้การรับในกระบวนท่าแห่งการยันก็สะท้อนให้เห็นถึงการไม่ยอมจำนนอย่างศิโรราบ ตรงกันข้าม ภายใต้การยันยังสำแดงความต้องการในการรุกอย่างเด่นชัด ไม่ปิดบังอำพราง
ไม่ว่าจะศึกษาผ่าน “แถลงการณ์” ไม่ว่าจะศึกษาผ่านจังหวะก้าวในการเดินทางลงไปยังพื้นที่ “นครราชสีมา”
ความต้องการโดยพื้นฐานของกลุ่มอำนาจอันสะท้อนผ่านบทบาท และการเคลื่อนไหวของ 40 สมาชิกวุฒิสภา “เก่า” ที่ใช้เวทีแห่งองค์กรอิสระอย่าง “ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นอาวุธคืออะไร
คำตอบ 1 ต้องการยืนยันในอำนาจและกลไกแห่งอำนาจ คำตอบ 1 ต้องการให้หยุดการเคลื่อนไหวในเชิงสะสมกำลัง
เมื่อมองเห็นว่าการผลักรุน นายพิชิต ชื่นบาน เข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคือรูปธรรมแห่งการท้าทาย ก็ต้องส่งสัญญาณ “เตือน”
เมื่อประสบกับกระแสต้านในลักษณะอันเป็น “สงครามสั่งสอน” ก็ต่อสู้ด้วยการถอยในแบบ “ถอนฟืนออกจากกระทะ” เหมือนกับเป็นการยอมแต่ก็ยอมเพียง “เฉพาะส่วน” มิได้หนียะย่าย
ตรงกันข้าม ยังเปิดเกมรุกเข้าไปยังเป้าหมาย “รัฐธรรมนูญ”
สร้างภาพที่จะสนธิกำลังร่วมกับพรรคก้าวไกลในระดับแน่นอน
พร้อมกับตรึงฐานและสะสมกำลังที่ “นครราชสีมา” ให้มั่นคง
แนวทางของพรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนในตัวเอง นั่นก็คือ ต้องการหวนกลับไปสู่ความรุ่งเรืองในยุคแห่งพรรคไทยรักไทย
นั่นก็คือ เพื่อบรรลุเป้าหมาย 377 จาก 500 ให้จงได้
ขณะเดียวกัน ก็มิได้เดินเส้นทางสายเดียว หากแต่ยังมีความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยมในการจัดทัพไม่ว่าในภาคประชาชน หรือการสร้างพันธมิตรในแนวร่วมพรรคการเมือง
ยิ่งการขับเคลื่อนของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในพื้นที่ 200 สมาชิกวุฒิสภา “ใหม่” ยิ่งน่าระทึกในดวงหทัยเป็นอย่างสูง