วันชัย วิเคราะห์มติศาล รับคดี 40 ส.ว. แล้วบอกหวาดเสียว แนะพท. เอาเป็นบทเรียน อย่าเปิดช่อง
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 ส.ว. ขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่ ว่า
กรณีศาลรับคำร้องเรื่องคุณสมบัตินายกฯไว้พิจารณา แต่ไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น อันดับแรกผลจะออก หรือไม่ออกก็เป็นความเสียหายต่อตัวนายกฯ เหมือนชนักปักหลังว่าคนเป็นผู้นำมีคดีคาอยู่ ทำให้ความเชื่อมั่นภายในและภายนอกเสียหาย ต่างชาติอาจมองไปถึงสถานะนายกฯ จึงถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญ
เป็นเรื่องน่าหวาดเสียวส่วนตัวนายกฯ และพรรคเพื่อไทย เพราะคะแนน 6 ต่อ 3 ให้รับไว้พิจารณา แปลว่ามี 3 เสียง บอกไม่ให้รับไว้พิจารณา อาจดูข้อมูลข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่างๆ แล้วไม่น่ารับ ส่วนอีก 6 เสียง บอกว่าดูข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วน่าจะรับไว้พิจารณา
ขณะเดียวกัน 5 ต่อ 4 ที่มีคำสั่งไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แปลว่า 4 เสียงบอกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ อีก 5 เสียงไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
เมื่อเอา 2 ส่วนนี้มาผนวกกัน คือ 6 กับ 4 ทำให้น่าคิดว่าในความคิดของศาลในการตัดสินคดี และถ้ามองแบบตัวเลขไม่ได้มองถึงเนื้อคดี ถือว่าเป็นเรื่องเสียวสันหลังมากเลย เป็นการวิเคราะห์จากตัวเลขและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ในฐานะเป็นนักกฎหมายและเป็น ส.ว. ซึ่งทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องไว้ที่สุดเชื่อว่านายกฯน่าจะเอาตัวรอดได้ ศาลรับเรื่องไว้พิจารณาไม่ได้หมายความว่านายกฯต้องผิดและต้องถูกถอน เช่นกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ศาลก็รับคำร้องไว้ และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่แต่ถึงเวลาแล้วก็ไม่ผิด และอีกหลายเรื่องหลายกรณี
เรื่องของนายเศรษฐาก็เหมือนกัน รับเรื่องไว้แปลว่าฟังจากคำร้องข้างเดียวยังไม่ได้ฟังการแก้ข้อกล่าวหา เชื่อว่านายเศรษฐาต้องนำข้อมูล ข้อเท็จจริงมาหักล้างว่า 1.สิ่งที่ทำไปนั้นได้ทำด้วยความรอบคอบ รัดกุมแล้ว 2.ได้ปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน
และ 3.ดูข้อเท็จจริงรูปคดีคำสั่งศาลของนายพิชิต ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ สุจริต จึงตัดสินใจแต่งตั้ง และไม่ได้มีใครมาครอบงำสั่งการ
ถ้านายเศรษฐาพิสูจน์ข้อเท็จจริงมีเหตุมีผลมีข้อกฎหมายประกอบละเอียดน่าจะสู้ได้และน่าจะไปรอด คนเป็นนายกฯ ไม่น่าจะตายน้ำตื้นกับเรื่องแค่นี้ ที่สำคัญกว่าจะนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องทำด้วยความระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง
ส่วนตัวเชื่อมาตั้งแต่สมาชิกนำเรื่องนี้มาหารือในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ส.ว.กลุ่มที่ไม่ลงนามเห็นจากคำร้องแล้วเชื่อว่ายังไม่มีเหตุ ไม่มีผลและไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ส.ว.หลายคนจึงไม่ได้ลงนาม ความเชื่อของเราและทีมกฎหมายของนายกฯ คงมีรายละเอียดข้อมูลข้อเท็จจริงมากที่จะพิสูจน์ตัวเองได้
ส่วนการเคลื่อนไหวถอดถอนของ ส.ว.นั้น กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา อย่างการอภิปรายทั่วไปเราก็เปิดชื่อว่าใครบ้างที่ร่วมลงชื่อ ไม่ใช่เรื่องลับๆ ล่อๆ แต่เรื่องนี้แปลกประหลาดมาตั้งแต่ต้น ต้องประเมินและติดตามกันต่อไป แต่การปลอมแปลงลายเซ็น ส.ว.เชื่อว่าไม่มีแน่นอน
การที่นายพิชิตลาออกไม่มีผลอะไรต่อนายเศรษฐา แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการปลดชนักคือตัวนายพิชิตเอง และอย่างน้อยที่สุดก็เป็นการบรรเทาในส่วนของนายกฯ
เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญของพรรคเพื่อไทย และใครก็ตามที่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยต้องพิจารณาให้รอบคอบ ในสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่ง พรรคร่วมที่ยังไม่แน่นปึ้กต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้อำนาจ อย่าเปิดจุดอ่อนใดๆ ให้เป็นประเด็น
กรณีของนายพิชิตเป็นเรื่องชัดเจนรู้ว่าคนนี้มีประเด็นมีปัญหา แม้จะสู้ได้ก็ไม่ควรเปิดช่อง เมื่อเปิดช่องมาแล้วก็พลาด เสียหาย เสียฟอร์ม
ทั้งนี้ นายเศรษฐาจะอยู่ได้หรือไม่ได้บางทีอาจไม่ได้เกี่ยวกับคดีนี้ แต่อยู่ที่ผลงานต่างหากว่าผลงานของพรรคเพื่อไทยจะออกมากี่โมง จะปรากฏเมื่อไร ตามที่โฆษณาหาเสียง
ที่มา – ข่าวสด