วิโรจน์ ซัด สุทิน เป็นเพียงหุ่นเชิดดำเนินนโยบายต่อจาก ‘ประยุทธ์’ ชี้งบประมาณไม่สะท้อนการเพิ่มขีดความสามารถกองทัพ บอก ภูมิใจทำรมว.กลาโหมกลัวได้ ชวนมาแลกพวงมาลัยกัน อย่าเอาไปให้กับคนที่เขาไม่อยากรับ
ต่อมาเวลา 18.10 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ว่า ข้อมูล ณ วันที่ 7 มิ.ย. 2567 อัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายของกระทรวงกลาโหมอยู่ที่ 17.67% กองทัพบก 4.89% กองทัพเรือ 23.24% และกองทัพอากาศ 11.73% งบประมาณที่เหลืออยู่อีกแค่3 เดือน ประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณของกระทรวงกลาโหม สะท้อนถึงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ จะพบว่ากระทรวงกลาโหมมีอัตราการเบิกรายจ่ายลงทุนต่ำอย่างน่าเป็นห่วง สะท้อนถึงอาการของ โรคไม่ตั้งใจที่จะส่งเสริมความมั่นคงของประเทศให้สอดรับกับบริบทของภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไป อัตราการเบิกจ่ายของรายจ่ายลบทุนของกองทัพนั้นมีปัญหาเรื้อรังมานานแล้ว
ในช่วงปลายงบประมาณปี 66 นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระดมใบสั่งซื้อ
ท่ามกลางข่าวหนาหู ว่าที่ล่าช้าอาจจะเป็นเพราะต้องใช้เวลากับการเรียกรับเงินทอนจากบริษัทโบคเกอร์ ที่ทำหน้าที่ซื้ออาวุธ ส่วนการรออะไหล่ก็เป็นปัญหาเดิม ที่กองทัพก็รู้กันอยู่ แต่ไม่ยอมสั่งซื้อยานเกราะที่ผลิตภายในประเทศ ทั้งที่โรงงานเหล่านั้น มีประวัติการผลิตเพื่อการส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก มีการสำรองอะไหล่ สำรองวิศวกรที่พร้อมซ่อมบำรุงให้กับกองทัพอย่างทันท่วงที แต่ไม่มีสำรองเงินทอนไว้ให้นายพลเท่านั้นเอง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายทหารระดับสูง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบดีว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้กระทรวงกลาโหมขาดงบประมาณในการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพคือ งบบุคลากรที่มีสัดส่วนสูงมาก จนกองทัพไม่มีเงินเหลือที่จะลงทุนด้านความมั่นคงไม่มีเงินที่จะซื้อเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่ทันสมัย ทั้งที่เห็นความมั่นคงในรูปแบบใหม่ผุดตรงหน้า หากดูงบบุคลากรในภาพรวมของกระทรวงกลาโหมแม้ว่าจะลดล งแต่ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญอย่างมีนัยยะสำคัญจากการปรับปรุงโครงสร้างภายในกระทรวงกลาโหม งบบุคลากรปีนี้ลดเพียง 2.5พันล้านบาท ลดลงแค่ 2.31% ซึ่งภาพรวมของกระทรวงกลาโหม ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น 2.6พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 1.31% ซึ่งสอดคล้องกับบริบทความมั่นคงที่ประเทศไทยของเรากำลังเผชิญอยู่ งบประมาณในภาพรวมเพิ่มขึ้นทุกเหล่าทัพ เมื่อเห็นการลดลงของงบบุคลากรแล้ว อาจจะนึกดีใจ คิดว่ากองทัพมีการปรับตัว แต่ขอยืนยันว่าเป็นการลดแบบธรรมชาติ ไม่ได้ลดจากการปรับปรุงโครงสร้างภายใน ท้ายสุดแล้วกระทรวงกลาโหมลดงบประมาณไปได้เพียง 34 ล้านบาท เป็นการลดแบบพอเป็นพิธี เพราะกลัวฝ่ายค้านด่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเคยยอมรับกลางสภามาแล้ว แบบไม่กระมิดกระเมี้ยนว่ากลัวก้าวไกล
“จริงๆ ผมแอบภูมิใจนะ ที่ผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการการทหารที่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ถึงเพียงนี้ มือผมนี่สั่นเลยครับ รอรับพวงมาลัยจากท่านเลย ผมอยากบอกท่านรัฐมนตรีด้วยว่า คราวหลังเอาพวงมาลัยมาแลกกับวิโรจน์ อย่าเอาไปให้กับคนที่เขาไม่อยากรับเลย” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า งบบุคลากรลดลงเพราะกำลังที่รับบรรจุช่วงสงครามเย็นที่ทยอยครบกำหนดเกษียณในช่วงเวลานี้พอดี ไม่ได้เกิดจากความพยายามของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี แต่แทนที่จะรีบเปลี่ยนผ่านให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ควบรวมหน่วยงานต่างๆ ก็ไม่ทำ และเคยได้รับคำชี้แจงในคณะกรรมาธิการการทหารว่า กำลังพิจารณาอยู่ แต่จะเป็นทางการในช่วงปี 2570 ซึ่งประจวบเหมาะกับการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งกองทัพก็อาจจะไปต่อรองขอขยายความอ่อนแอออกไปอีก
“จะชวนนายทหารระดับสูงมายืนพนมมือแล้วบริกรรมคาถาหรือครับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัตว์ปีกทั้งหลายที่ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด จบลงด้วย แล้วทุกอย่างจะดีเอง สาธุ อย่างนั้นหรือครับ” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ โครงการ Early Retire ก็ไม่ปรากฏในงบ 2568 และการลดจำนวนนายพลลงครึ่งหนึ่ง ก็เป็นไปอย่างต้วมเตี้ยม กว่าจะครบตามเป้าหมายคือเหลือ 284 นาย ก็ต้องรอถึงปี 2571 และถ้าไม่คิดควบรวมหน่วยงานที่ซับซ้อนในกระทรวงกลาโหม นายพลอีก 965 นาย ก็จะดำรงอยู่ต่อไป อีกทั้งสถานการณ์ในประเทศเมียนมา เชื่อว่านายทหารระดับสูงและรัฐมนตรีก็รู้ดี ว่าการปะทะที่เกิดขึ้นมีการใช้ระเบิดนำวิถี โดรนพลีชีพ กิจกรรมผิดกฎหมายมีแนวโน้มสูงขึ้นในพื้นที่ชายแดน แต่กองทัพบกให้ความสำคัญกับเรื่องโดรนต่ำมาก ปี 2568 มีการจัดซื้อเพียง 10 ตัว สะท้อนถึงการประเมินสถานการณ์ที่ล้าหลังมาก และในยุทธศาสตร์ก็ไม่มีแผนและแนวทางในใช้โดรนรับมือและยับยั้งโดรนของฝ่ายตรงข้าม มีเพียงการใช้ลาดตระเวนเท่านั้น
ปัจจุบันมีขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติดข้ามมายังชายแดนฝั่งไทย แต่ในงบประมาณ 2568 ไม่มีการลงทุนในเทคโนโลยีที่มีมีประโยชน์ในการตรวจจับผู้กระทำผิดเลย จึงอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้การทำผิดกฎหมายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังดำรงอยู่จนปัจจุบันนี้
ขณะที่งบประมาณซ่อมบำรุงของกองทัพบก พบว่างบประมาณในการจัดหาสิ่งอุปกรณ์และชิ้นส่วนซ่อมคงคลัง หรือเงินซื้ออะไหล่ กลับลดลง 580 ล้านบาทจากงบปี 2567 จึงเชื่อได้ว่า ยานเกราะจำนวนมากที่นอนรออะไหล่นานแรมปี ก็ยังต้องรอต่อไป โดยเฉพาะยานเกราะล้อยางที่มีความสำคัญ กลับได้รับงบเพียง 40 ล้านบาท จะทำให้กองทัพสามารถรักษาสภาพยานเกราะให้มีความพร้อมใช้ 2 ใน 3 ได้อย่างไร
และเมื่อนำงบซ่อมยานเกราะล้อยาง งบการจ้างซ่อมของกองทัพบก มารวมกัน 195 ล้านบาท แล้วเทียบกับงบประมาณประจำตำแหน่งของนายพล 550 ล้านบาทต่อปี สะท้อนถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อความกินหรูอยู่สบายของบรรดานายพล ที่ไม่คำนึงถึงการปฏิบัติงานของทหาร มากกว่าการจัดสรรงบประมาณเพื่อความมั่นคง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สำหรับงบประมาณในการฝึกศึกษาทางการทหาร มารวมกับงบในการเตรียมกำลังพลป้องกันประเทศ เป็น 2,747 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากงบปี 2567 มา 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะอะไร เพิ่มเพราะเกี่ยวข้องกับการฝึกการปฏิบัติภารกิจร่วมกับเทคโนโลยีป้องกันประเทศ มีงบเกี่ยวกับโดรนหรือแอนตี้โดรนหรือไม่ หากไม่มีจะเพิ่มได้อย่างไร ในเมื่อยอดการเกณฑ์ทหารลดลง ยอดบุคลากรก็ลดลงเช่นกัน
“กองทัพจะไม่มีพื้นที่ทางการคลัง ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอต่อการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ไม่มีงบลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จะทำให้กองทัพอ่อนแอในระยะยาว มีเพียงความพร้อมในการก่อการรัฐประหาร และประหัตประหารชีวิตประชาชนเท่านั้นเอง” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า งบค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการส่งกำลังและซ่อมบำรุง และผลิตเพื่อแจกจ่ายของกองทัพบก ที่เพิ่มขึ้นมากว่าพันล้านบาท งบส่วนนี้ถูกตั้งข้อสังเกตมาทุกปีว่ามีอัตราการเบิกจ่ายที่ต่ำ และมักถูกเปลี่ยนแปลงไปใช้ซื้ออาวุธประเภทอื่น ตามระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการงบประมาณ พ.ศ.2563 ซึ่งหากวงเงินไม่เกินพันล้าน ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณก็สามารถเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายงบส่วนนี้ได้เลย โดยอ้างว่าวัตถุประสงค์เดียว ตนอยากฝากให้กรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ 2568 ต้องสอดส่องงบประมาณส่วนนี้อย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยให้กองทัพบกตั้งงบนี้เพิ่มพันกว่าล้าน แล้วมาขอเปลี่ยนแปลงงบประมาณภายหลัง โดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้แต่มองตาปริบๆ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ได้แต่มองตาปริบๆ ด้วย
“เพราะในระเบียบนี้ข้อที่ 17 เขียนไว้งามไส้ที่สุด ว่าเมื่อกองทัพตกลงกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบภายใน 45 วัน เท่ากับระเบียบนี้อนุญาตให้กองทัพงุบงิบซุบซิบกับสำนักงบฯ เปลี่ยนแปลงงบประมาณเลย แล้วมาแจ้งรัฐมนตรีภายหลัง ทำเหมือนรัฐมนตรีเป็นแค่โฆษกกองทัพบก ผู้ที่ลงนามในระเบียบนี้ก็รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนก่อน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมก็หวังว่ารัฐมนตรีคนปัจจุบันที่ชื่อ สุทิน คลังแสง จะกล้าแก้ไขระเบียบนี้ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเป็นหัวหลักหัวตอ ถึงเวลาที่รัฐมนตรีต้องเลิกขอ แต่ต้องสั่งการ และกำชับด้วย เพราะที่ผ่านมาเคยสั่งการไปแล้วว่าไม่ให้หักค่าสูบส้วม เพียงแต่ผู้บังคับกองพันยังไม่ปฏิบัติตามเลย ” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนอยากเรียกร้องให้แผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน ระยะที่ 1 ของกองทัพอากาศ วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเข้าใจว่ามีความจำเป็น แต่ต้องคำนึงถึงนโยบายชดเชยที่ให้ประชาชนพลเรือนได้ประโยชน์ร่วมด้วย คือการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการทหาร ที่กองทัพอากาศควรต้องได้รับลิขสิทธิ์ทางปัญญาส่วนหนึ่ง หากกองทัพอากาศต่อรองดีๆ มูลค่าการชดเชยอาจสูงเทียบเท่าราคาที่จัดซื้อก็ได้
และถ้าหากกองทัพอากาศตระหนักว่า เงินจัดซื้อเครื่องบินขับไล่นี้มาจากน้ำพักน้ำแรงภาษีของประชาชน ก็ควรใส่ประโยคสำคัญไว้ในสัญญาจัดซื้อด้วย คือ การส่งมอบเครื่องบินโจมตีขับไล่หรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ต้องส่งมอบในช่วงเวลาที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยเท่านั้น รัฐประหารเมื่อไหร่ไม่ต้องส่ง และ กองทัพอากาศขอให้คำมั่นว่าจะไม่ใช้เครื่องบินขับไล่ที่มาจากภาษีประชาชน ในการปฏิบัติภารกิจที่คุกคามระบอบประชาธิปไตย หรือเข้าข่ายการละเมิดสิทธิของประชาชนทั้งในและต่างประเทศ
โดยหากกองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินมีความโปร่งใส มีราคาที่เหมาะสม และมีนโยบายชดเชย ตนเองและกรรมาธิการฯ ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล จะไม่ขัดขวางงบประมาณส่วนนี้ และยังจะปกป้องงบประมาณไม่ให้ซ้ำรอยกับงบจัดซื้อเรือฟริเกต
นายวิโรจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประชาชนควรจะคาดหวังกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าจะสามารถเปลี่ยนผ่านให้กองทัพอยู่ภายใต้พลเรือน แต่ที่ผ่านมา งบประมาณไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญได้เลย
“รัฐมนตรีพลเรือนกลับเป็นเพียงหุ่นเชิด เป็นโฆษกคอยแก้ต่างให้กองทัพ ดำเนินนโนบาย ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของ พลเอกประยุทธ์ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อาจจะทำได้ดีกว่า พลเอกประยุทธ์ ทำเองด้วยซ้ำ น่าผิดหวังมากที่คุณสุทินไม่สามารถโอบรับความหวังของประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้เลย” นายวิโรจน์กล่าว