ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
เวลา 20.00 น. วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรายชื่อผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 200 คน
ถือเป็นการตอบคำถาม “ส.ว.ชุดใหม่จะมากี่โมง” อย่างเป็นทางการ
ซึ่งแม้ดูเหมือนคนไทยจะได้คำตอบแล้ว
แต่ถามว่าเมื่อได้คำตอบแล้ว
“จบหรือไม่”
ส่วนใหญ่ คง “ตอบ” อีกนั่นแหละว่า
“ไม่จบ”
ไม่จบ เพราะ 200 ส.ว.ที่ได้มา คงต้องเผชิญคำถามอีกมากมาย
อย่างน้อยที่สุด คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2560 และยกร่างประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาวุฒิสภา ที่อวดอ้างว่าได้ออกแบบการได้มา ส.ว. (อย่างสุดพิสดารพันลึก) ให้ปลอดจากอิทธิพลพรรคการเมือง
แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งก็ขอวงเล็บห้อยไว้หน่อย (คณะกรรมการเลือกตั้งไม่เห็น หรือยังไม่เห็น–จึงอ้างว่าจะตามไปสอยทีหลัง) พรรคการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเต็มๆ
ทำให้ ส.ว.ที่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน แยกเป็นสี เป็นกลุ่ม ที่ยึดโยงไปถึงพรรคการเมืองทั้งสิ้น
และบางพรรคว่ากันว่ากุมเสียงเกินครึ่งวุฒิสภา เสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นที่อวดอ้างว่า วุฒิสภาใหม่จะเป็นกลาง จะเป็นเสียงสะท้อนคนในอาชีพ “ด้าน” ต่างๆ
เป็นเพียงลมปากเท่านั้น
ซึ่งก็อย่าไปเรียกร้องหาความรับผิดชอบ จากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2560 และยกร่างประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาวุฒิสภา อย่างเด็ดขาด
เพราะคงไม่ยอมรับ แถมอาจเคลมถึงการ “มี-ชัย” ด้วย
มี-ชัยว่าด้วยกฎ กติกา อันพิสดารพันลึก ชนิดไม่มีที่ไหนในโลกนี้ไงที่ทำให้ได้ ส.ว.ที่แม้จะ “ไม่ปลอดการเมือง”
แต่ก็เป็นการเมืองที่มี “ดีเอ็นเอ” ชนิดเดียวกับ “ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” และต่อเชื่อมไปถึงผู้ตั้ง คือ “คณะรัฐประหาร” อย่างชัดเจน
ดังนั้น ความคาดหวังที่จะเห็นวุฒิสภามุ่งมั่นไปสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ลดน้อยถอยลงอย่างชัดเจน
ในระยะอันใกล้ เราคงได้เห็นประธานวุฒิสภาที่มาจากอดีตข้าราชการพลเรือน หรืออดีตข้าราชการทหาร ซึ่งมีพื้นฐานเติบโตมากับระบบ “จารีต” อันเข้มข้น
แถมเมื่อมาเจือสมกับการเป็นพวกกับพรรคการเมือง ที่มีทิศทาง “อนุรักษนิยม”
ซึ่งก็น่าจะประเมินได้ว่า ทิศทางของวุฒิสภาจะไปทางไหน
ความหวังที่เราจะได้เห็นความกระตือรือร้นในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คงยาก
เพียงแค่จะแก้ไขที่มาของ ส.ว.ที่เป็นตัวอย่างของ “ปัญหา” ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน
มิต้องไปกล่าวถึง ความหวังที่จะรื้อรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ให้มีความก้าวหน้า มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งคงยาก
เผลอๆ 200 ส.ว.ใหม่จำนวนมาก อาจจะมีลักษณะเหมือน 250 ส.ว.ที่ (ไม่เต็มใจ) หมดวาระไป คือเป็นตัวขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยเสียเอง
และเล่นบทบาท “สนองคุณ” ฝ่ายการเมือง ที่มีส่วนช่วยให้ตนเองเข้ามาในสภาสูงอย่างสุดพิสดาร
กล่าวถึงที่สุด “โมงยาม” แห่งความหวังที่จะเห็นความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง สำหรับประชาชนแล้ว
ยังมาไม่ถึง และอีกนานที่จะถึง
ตอนนี้ จึงทำได้เพียงมองหาแง่มุมดีๆ มาเยียวยาใจ
เช่น อย่างน้อยที่สุด 200 ส.ว.ใหม่ก็คงมีไม่ทั้งหมดที่จะมีใครกดปุ่มสั่งได้
คงพอมีสิทธิ มีเสียง ที่จะทำให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยบ้าง
ไม่ให้ใครมาดูถูกดูแคลนว่าเป็นเพียง “เสียงที่ไร้อนาคต”
สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร