คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : เมื่อขว้างปาปริญญาฝาบ้านจนพอใจแล้ว ก็ตั้งสติกันใหม่ว่าจะไปยังไงต่อ

เมื่อขว้างปาปริญญาฝาบ้านจนพอใจแล้ว
ก็ตั้งสติกันใหม่ว่าจะไปยังไงต่อ

จริงๆ ก็เดาได้ตั้งแต่ครั้งที่เขียนคอลัมน์เมื่อวันพุธที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้วแหละว่า “หมอเกศ” พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย น่าจะตกเป็นเป้ากระสุนตก โดยเฉพาะฝ่ายที่ต้องสงสัยว่าจะมาจากเครือข่ายฝ่ายที่ใกล้ชิดกับพรรคการเมืองฝั่งหนึ่งของบรรดา ส.ว. 200 คน

ความที่เธอได้รับคะแนนเลือกกันเองมาสูงสุดในประเทศถึง 79 คะแนน ทั้งด้วยรูปลักษณ์ของเธอที่โดดเด่นแปลกตา และประวัติการศึกษาวิชาการที่ไม่ธรรมดา ที่จุดหลังนี่เองที่กลายเป็นดราม่าให้เธอถูกขุดคุ้ยขึ้นมาตั้งคำถามโจมตีตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ที่หลายเรื่องก็เหมือนเธอก็ขุดหลุมฝังตัวเองด้วยการไปแนะนำตัว “สดๆ” เป็นภาษาอังกฤษต่อรายการคุณสรยุทธ์ ซึ่งความไม่คล่องแคล่วและระดับภาษานั้นก็ยิ่งทำให้สังคมตั้งคำถามเข้าไปอีก แม้ว่าในภายหลังจะมีการนำเอาคลิปที่เธอนำเสนองานวิชาการเป็นภาษาอังกฤษที่มีการพูดที่ดีและคล่องแคล่วกว่ามานำเสนอก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เท่าไรนัก

Advertisement

อันที่จริงแล้วใครที่เคยไปเรียนเมืองนอกหรืออยู่ในแวดวงการศึกษา เห็นประวัติการศึกษาของเธอก็คงดูออกกันตั้งแต่แรกเห็นแล้วทั้งนั้นว่านี่คงไม่ใช่ปริญญาหรือตำแหน่งที่ได้มาตรฐานในทางวิชาการที่จะอ้างอิงได้อย่างเป็นสากล เป็นเพียงปริญญา ใบประกาศ หรือตำแหน่งประเภท “แปะฝาบ้าน” หรือเอาไว้ประดับห้างร้านที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายอะไร เพราะเจ้าตัวผู้มีชื่อในปริญญานั้นก็ไม่ได้เอาวุฒินั้นไปใช้เพื่อการงานหรืออ้างใช้ในทางวิชาการจริงจังอยู่แล้ว ใครที่ใจกว้างหน่อยก็มองว่าเป็นเรื่องความสุขส่วนบุคคลที่อยากเสริมความภาคภูมิใจในตัวเองก็ได้ไม่ก้าวล่วงกัน หรือใครที่ไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้นก็อาจจะหยามหมิ่นในใจหรือแสดงออกมาชัดเจนเสียงดัง ก็สุดแต่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนจริงหาญกล้าเพียงใด หรือเจ้าของปริญญานั้นจะเป็นใครก็เท่านั้น

คือปริญญา ตำแหน่งทางวิชาการ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ที่อุปโลกน์ขึ้นเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองแบบนี้ในต่างประเทศมีมาก ไม่ใช่แค่ระดับศาสตราจารย์ดอกเตอร์ แต่อยากจะเป็นถึงเจ้าฟ้าราชนิกูลก็ยังได้ เคยอ่านพบเรื่องที่มีผู้เคลมว่าเป็นผู้สืบทอดบังลังก์แห่งราชอาณาจักรที่สาบสูญหรือดินแดนที่เพิ่งสร้าง ยินดีจะแต่งตั้งให้ใครก็ตามที่บริจาคเงินเพียงหลักหมื่นบาทไทยให้แก่ประเทศหรือราชรัฐกระจิ๋วหลิวนั้น ก็จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าฟ้า ดยุก หรือพระยาฟ้าฮ่ามตามอัตราเงื่อนไขที่ท่านผู้ครองนครกำหนด พร้อมรับตราตั้ง เครื่องราชย์ หรือใบประกาศโก้ๆ ไปโชว์ในห้องรับแขกเวลาเพื่อนมากินเหล้าที่บ้านให้เฮฮากัน เป็นเรื่องตลกของคนมีสตางค์กลุ่มหนึ่งบนโลกใบนี้

Advertisement

ปัญหาคือ ถ้ามีใครเกิดจะเอา “ปริญญา” หรือตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ประเภทที่ควรเอาไว้เสริมความมั่นใจในห้องรับแขกหรือฝาผนังร้านค้าของใครของมันมาแสดงแจ้งบอกในเอกสารของทางราชการเช่นนี้ จะมีปัญหาหรือนัยในทางกฎหมายอะไรหรือไม่ เรื่องนี้ถ้าเป็นการอ้างใช้ในเรื่องที่ปริญญาหรือสถานะนั้นเป็นสาระสำคัญก็อาจจะส่งผลได้ตั้งแต่ทำให้ไม่มีสิทธิเข้าสู่ตำแหน่งหรือได้รับการพิจารณา เช่น ไปสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เขาระบุว่าต้องการวุฒิปริญญาเอกจากต่างประเทศ หากเขาตรวจแล้วว่ามหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้รับการรับรองเขาก็ไม่รับเข้าทำงาน หรือถ้าเจ้าตัวไปใช้ใบปริญญาที่เหมือนหรือคล้ายกับมหาวิทยาลัยที่ทางการรับรองโดยเจตนาให้เข้าใจผิดจนได้รับเข้าทำงานก็อาจจะเป็นความผิดทางอาญาหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็ได้ ก็ว่ากันไป

แต่ถ้ากรณีที่การแสดงข้อเท็จจริงนั้นไม่ใช่สาระสำคัญของเรื่องนั้นล่ะ? เช่นนี้จะยังถือเป็นความผิดอยู่หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ เพราะอย่างที่เราทราบกันว่าจริงๆ แล้วคุณหมอเกศ เธอก็เป็นแพทย์จริงๆ ที่มีปริญญาแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอกชน และมีใบประกอบโรคศิลป์ จึงสามารถใช้คำนำหน้าต่อสาธารณะว่า “แพทย์หญิง” ได้โดยถูกต้อง ส่วนในการลงสมัครรับเลือกเป็น ส.ว.นั้น ก็ลงสมัครในกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ซึ่งวุฒิการศึกษานั้นไม่น่าจะเป็นสาระสำคัญสำหรับผู้สมัครในกลุ่มนี้ไปมากกว่าประสบการณ์ทางวิชาชีพและความสำเร็จในการประกอบกิจการ คือพูดง่ายๆ ว่า ต่อให้ไม่ได้จบอะไรมาเลยก็ยังถือว่ามีคุณสมบัติในการสมัครได้

เช่นนี้การใส่คุณสมบัติที่ไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามา แม้ในที่สุดจะพิสูจน์ได้ว่าคุณสมบัติดังกล่าวเป็นเท็จ แต่ก็จะถือว่าเป็นกรณีที่กระทบกระเทือนต่อการดำรงตำแหน่งหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่ากรณีนี้ก็ไม่ใช่ทั้งคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรงด้วย

หรือถ้าจะมองว่า การระบุคุณสมบัติอันเกินจากที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด แต่เป็นคุณสมบัติที่ตนไม่มี หรือมีข้อกังขาว่าคุณสมบัตินั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้นอย่างไรเสียก็น่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย เพราะคุณสมบัติดังกล่าวนั้นได้ถูกระบุลงไปในเอกสารแนะนำตัว ที่ผู้สมัครรับเลือกเป็น ส.ว. คนอื่นใช้อ่านและพิจารณาเลือกด้วย การระบุคุณสมบัติล้นเกินแต่ไม่มีจริง หรือถึงมีก็ไม่ได้มีคุณภาพจริงดังที่พยายามแสดงไว้นั้น อาจจะทำให้ได้รับเลือก เช่นการระบุคุณสมบัติไว้เลิศลอยว่าจบการศึกษาจากต่างประเทศและเป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนั้นจะทำให้ผู้มีสิทธิเลือก ส.ว.ด้วยกันเองเลื่อมใสศรัทธาจนเทคะแนนให้อย่างมีนัยสำคัญ ข้อโต้แย้งนี้ก็อาจเป็นได้ หากพิจารณาจากคะแนนรับเลือกที่ล้นหลามของเธอ เพียงแต่เรื่องนี้จะพิสูจน์อย่างไรให้เป็นรูปธรรมได้เล่า

โดยส่วนตัวแล้วก็คิดว่า เรื่องดราม่าเกี่ยวกับวุฒิการศึกษาและตำแหน่งทางวิชาการของคุณหมอเกศก็น่าจะจบลงแค่นี้สัปดาห์นี้แหละ โดยในทางกฎหมายคงไม่มีใครเอาผิดอะไรได้ เว้นแต่ใครเข้าข่ายไปบูลลี่หนักๆ จนเกินสมควรเข้าก็อาจจะต้องระวังกระบวนการทางกฎหมายจากเจ้าตัว ที่ดูแล้วน่าจะมีความสามารถทางการเงินในการดำเนินคดีได้พอสมควรทีเดียว

เชื่อว่า บทเรียนจากเรื่องคุณหมอเกศนี้ น่าจะทำให้ผู้ที่ได้ “ปริญญาแปะฝาบ้าน” ที่มีไว้เพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง (ซึ่งขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าไม่เอาไปแสดงใช้อย่างเป็นทางการ) นั้น ต้องใช้ความระมัดระวังในการเอาคุณวุฒิที่เจ้าตัวก็รู้ในคุณภาพนั้นอยู่ไปอวดแสดงต่อสาธารณชนมากขึ้น คือถ้าจะจัดหาหรือมีครอบครองไว้เพื่ออวดอวยกันในหมู่เครือญาติ ในกลุ่มมิตรสหาย หรือแม้แต่ผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรเสริมสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายคอนเน็กชั่นที่หน่วยงานของรัฐจัดขึ้น ให้เพื่อนฝูงเรียกว่าท่านศาสตราจารย์ ดร. เล่นโก้ๆ อะไรอย่างนี้ก็พอได้ แต่ไอ้จะเอาไปแนะนำตัวหรือเขียนลงเอกสารราชการให้ตรวจสอบได้อย่างเปิดเผยทั่วไปนี่ก็อาจจะต้องดูตัวอย่างจากเรื่องนี้ไว้ว่ามันไม่ต่างอะไรกับการเอาใบปริญญาที่อุตส่าห์ไปจัดหามาเพื่อเสริมความภาคภูมิใจส่วนตัว มาวางไว้กลางถนนให้คนเอาไข่ ก้อนหิน หรืออาจจะสิ่งสกปรกกว่านั้นมาขว้างปาใส่ ถ้าอย่างนี้ก็เก็บไว้ดีๆ บนฝาบ้านเงียบๆ น่าจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม เรื่องหนึ่งก็ออกจะเห็นใจคุณหมอเกศอยู่ประการหนึ่งในเรื่องที่เธอต้องตกเป็นเป้า กลายเป็นตำบลกระสุนตกนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเธอเป็นเหมือนตัวแทนของ ส.ว.ชุดนี้ที่ต้องออกมารับระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวของฝั่งฝ่ายที่เห็นว่าการเลือก ส.ว.ในครั้งนี้นอกจากมีกติกาที่บิดเบี้ยวแล้ว ยังมีกลุ่มเครือข่ายทางการเมืองที่อาศัยอำนาจ อิทธิพล และเครือข่ายคอนเน็กชั่นที่ได้มาจากการสั่งสมอำนาจรัฐสามารถเบียดแทรกส่งคนมาคว้าชัยชนะได้เก้าอี้ในสภาสูงมาอย่างมีนัยสำคัญด้วย

เรื่องนี้อยากให้ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ทำใจร่มๆ เบาๆ ลงสักนิดหนึ่งว่า จริงอยู่ที่ฝ่ายของพวกท่านอาจจะเรียกได้ว่า “แพ้” ในสนามรบสภาสูง แม้ว่าจะสามารถเบียดแทรกเข้ามาได้อย่างน่าพอใจก็ตาม แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าได้จำนวนน้อยกว่าที่คาดหวัง

แต่บทบาทของวุฒิสภาหลังจากนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไรสักเท่าใดแล้ว หรือแม้แต่ถ้าเราลองระลึกไปถึงวุฒิสภาที่น่ารังเกียจชุดที่เพิ่งพ้นตำแหน่งไปแล้วนั้น นอกจากการขัดขวางมติของประชาชนในการเลือกนายกรัฐมนตรีผ่านกลไกการเลือกตั้งถึงสองครั้งแล้ว (หรืออาจจะรวมเรื่องการไม่ให้ความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งอย่างน่ากังขาอีกสองสามครั้งด้วยก็ได้) มานึกดูดีๆ ก็แทบไม่ปรากฏว่า พวกเขาได้ก่อวีรเวรวีรกรรมอื่นใดในฐานะของ “วุฒิสภา” ให้เป็นที่จดจำสักเท่าไร ถ้าจะมีก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลของ “ส.ว.” แต่ละคนเสียมากกว่า

เพราะอำนาจของ ส.ว.ที่เหลืออยู่นั้น คือการร่วมให้ความเห็นชอบกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วุฒิสภาไม่มีอำนาจในการทำให้ตกไป ทำได้เพียงการยับยั้งไว้ชั่วคราวหรือให้ตั้งกรรมาธิการร่วมขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าทาง ส.ส.ยืนยันจะใช้ร่างที่ฝ่ายตนเห็นชอบจริงๆ ก็สามารถลงมติยืนยันร่างกฎหมายให้ถือว่าผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาก็ได้ ส่วนที่เกรงว่า ส.ว.มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ องค์กรตุลาการ และองค์กรอัยการนั้น จริงๆ แล้ว วุฒิสภามีอำนาจเพียง “ให้ความเห็นชอบ” รายชื่อที่มีการเสนอไปโดยคณะกรรมการสรรหาองค์กรอิสระหรือองค์กรตุลาการนั้นๆ เสนอไปเท่านั้น ไม่ใช่อำนาจในการเลือกเอง

ส่วนเรื่องการเข้าชื่อกันยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือร่างกฎหมาย ก็เป็นอำนาจที่มีทั้ง ส.ส.และ ส.ว. คือต่อให้ ส.ว.ไม่ทำ ก็อาจจะมี ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามใช้อำนาจนี้ได้อยู่ดีเช่นกัน

จะมีอยู่บ้างก็คืออำนาจในการที่จะต้องให้ความเห็นชอบกรณีจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กรณีดังกล่าวก็ต้องอาศัยเสียงของ ส.ว.เพียงหนึ่งในสาม หรือ 66 จาก 200 เสียงเท่านั้น ซึ่งถ้าฝ่ายที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่ก็น่าจะมี ส.ว.ที่เห็นด้วยอยู่แล้วจำนวนหนึ่งไม่อาจหา ส.ว. ให้ความเห็นชอบมาได้จำนวนนั้นจริง กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เหลือก็ดูท่าว่ายากที่จะสำเร็จได้แล้ว

กล่าวโดยสรุปแล้ว คิดว่าหลังจากระบายอารมณ์ผิดหวังจากการเลือก ส.ว.กันเสร็จสิ้นแล้ว ก็ทำใจร่มๆ ตั้งสติดีๆ แล้วกลับมาดูว่า เรายังจะต้องทำอะไรกันต่อจากนี้ หากยังต้องการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่ดีและสิทธิเสรีภาพที่เพิ่มขึ้นจะดีกว่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image