ในความแจ่มชัดต่อกรณี “ปลาหมอคางดำ” ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สะท้อนให้เห็นความเด็ดเดี่ยว ความเฉียบขาดด้วยความมั่นคง
ไม่เพียงฝากความมั่นใจต่อการทำงานของ “กรรมาธิการ” แห่งสภา หากแต่ยังฝากความหวังไว้กับ “กรมประมง”
ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่าจะจัดการกับปัญหา “ปลาหมอคางดำ” อย่างไรจึงจะสร้างความมั่นใจให้กับสังคม หากแต่ยังอยู่ที่คำถาม และความสงสัยว่าเหตุใดจึงมีและแพร่ระบาดอย่างน่ากลัว
ต้องยอมรับว่า ปลาหมอคางดำไม่มีผลต่อชีวิตของคน หากแต่ภยันตรายอย่างใหญ่หลวงอยู่ที่คุกคามต่อชีวิตของปลาและสัตว์น้ำชนิดอื่น
การดำรงอยู่ของปลาหมอคางดำจึงเป็นภัยต่อระบบนิเวศ ต่อธรรมชาติ จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องหาทางจำกัดและกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด
กระนั้น ภายในภยันตรายซึ่งเป็นที่รับรู้กันอยู่อย่างกว้างขวาง ยังนำไปสู่คำถามถึงประวัติความเป็นมาว่าปลาหมอคางดำเข้ามาในอยู่ในประเทศไทยได้อย่างไร
คำถามนี้กำลังดำรงอยู่ในสถานะ “ช้าง” ตัวใหญ่ในสังคม
ความเป็นจริงหนึ่งที่แม้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เองก็ยอมรับ นั่นก็คือ การเปิดประเด็นในเรื่องอันตรายของ “ปลาหมอคางดำ” เป็นการเริ่มต้นของประชาชน เป็นการเริ่มต้นของภาคประชาชน
ตรงนี้เองที่ทำให้สังคมเกิดคำถามและความแคลงใจต่อบทบาทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน
แสงแห่งสปอตไลต์ย่อมฉายจับไปยังบทบาทและความรับผิดชอบของ กรมประมง เนื่องจากเป็นเรื่องของปลา น่าเศร้าที่กรมประมงไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างสิ้นสงสัย
ยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แสดงความมุ่งมั่นต้องการคำตอบมากเพียงใด ยิ่งกดดันกรมประมงเพียงนั้น
นั่นก็คือ จะบอกได้หรือไม่ว่าปลาหมอคางดำมาได้อย่างไร
หากมองจากความตื่นตระหนกของประชาชน หากมองจากความพยายามที่จะหาคำตอบของสังคมแล้วไม่ได้คำตอบ
ทุกฝ่ายเห็นใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จึงไม่เพียงต้องการเห็นความกระตือรือร้นอย่างรับผิดชอบของกรมประมง หากแต่อยากเห็นความสมหวังของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่าควรจะเกิดขึ้น
หากในที่สุดกรมประมงและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่สามารถตอบคำถามและความสงสัยของสังคมได้ก็เป็นเรื่องเศร้า