อดีตผู้ฝูง F-16 ชวนเกาะติด ทอ.ใช้งบ 2 หมื่นล้าน ซื้อฝูงรบใหม่ หวั่นโดนแหกตา ออฟเซตทิพย์

อดีตผู้บังคับฝูง F-16 ชวนเกาะติด ทอ.ใช้งบ 2 หมื่นล้าน ซื้อฝูงรบใหม่ หวั่นซ้ำรอยออฟเซตทิพย์ 

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตส.ส.กทม.  อดีตรัฐมนตรีว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง F-16 Block 70/72(USA) #VS JAS 39 Gripen E/F (Sweden) ?? โดยมีเนื้อหาดังนี้

ผมจบการศึกษาเป็นอันดับที่ 1 และรับโล่ห์เชิดชูเกียรติ 2 จาก 3 ใบ จากโรงเรียนการบิน กองทัพอากาศในปี 2531

จากนั้นผมได้ทำการบินกับเครื่องบินขับไล่หลายแบบ โดยเฉพาะกับเครื่องบิน F-16 ที่ผมฝึกเป็นนักบิน พร้อมรบรุ่นที่ 6 และได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ผู้บังคับฝูงบินคนแรกของ F-16 ฝูงสุดท้าย ที่กองทัพอากาศจัดหาเข้าประจำการในปี 2544

ดังนั้น ถ้าพูดถึงเรื่องการป้องกันประเทศด้วยกำลังทางอากาศ ผมจึงไม่ใช่ “เด็กที่ไม่รู้ความ” เพราะในชีวิตนักบินรบ 17 ปี ของผม เติบโตมาตามเส้นทางหลักของสายยุทธการ ตั้งแต่ศิษย์การบิน จนถึงผู้บังคับฝูงบิน เหมือนกับท่านผู้บัญชาการทหารอากาศหลายท่าน และผมก็ผ่านการฝึกบินทางยุทธวิธีทั้งในและต่างประเทศ จึงมีประสบการณ์และความเข้าใจในเรื่องการใช้กำลังทางอากาศเป็นอย่างดี

ADVERTISMENT

แต่ที่แตกต่างกับเพื่อนพ้องน้องพี่ที่จบจากโรงเรียนนายเรืออากาศก็คือ ผมลาออกจากราชการเพื่อมาทำงานการเมือง และเคยดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองหลายตำแหน่ง เคยเป็นทั้ง ส.ส. และรัฐมนตรี เคยเป็นผู้บริหารพรรคการเมือง ทั้งรองหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค เคยเป็นกรรมาธิการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลหลายคณะ และเคยเป็นกรรมาธิการงบประมาณที่ต้องกลั่นกรองการออกกฎหมาย พ.ร.บ.งบประมาณของแผ่นดิน

ดังนั้น เมื่อผมทราบว่า กองทัพอากาศกำลังของบประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ และมีตัวเลือกคือเครื่องบิน F-16 Block 70/72 ของสหรัฐอเมริกา กับเครื่องบิน JAS 39 Gripen E/F ของสวีเดน

ผมจึงอยากแสดงความเห็นและข้อมูลของผมในวันที่ผมไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหัวโขนทางการเมือง ไม่ได้เป็นทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล แต่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากงบประมาณแผ่นดิน ที่ ทอ.ต้องจ่ายออกไปจากการซื้อเครื่องบินในครั้งนี้

เผื่อว่าความเห็นและข้อมูลของผม จะเป็นประโยชน์กับรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะได้ไม่มาปวดหัวเหมือนกับกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำในภายหลัง

และท่านใดต้องการแลกเปลี่ยนความเห็นกันแบบตรงไปตรงมา ผมก็ยินดีครับ

ก่อนอื่นผมขออนุญาตระบุข้อเท็จจริง 3 เรื่องนี้ก่อน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจเรื่องต่างๆที่อาจมีความซับซ้อนอยู่ไม่น้อยไปด้วยกัน

เรื่องแรกคือ ไม่ว่ากองทัพอากาศจะซื้อเครื่องบินรุ่นไหนก็ตาม เงินเกือบ 2 หมื่นล้านนี้จะซื้อได้ไม่เกิน 4 เครื่อง เพราะฉะนั้น หากซื้อจำนวน 12 เครื่อง เรากำลังพูดถึงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และถ้าขยับไปที่ 16 เครื่อง เรากำลังพูดถึงเงิน 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งต้องยอมรับว่าภายใต้เศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกที่ไม่ค่อยเอื้อกับประเทศไทยสักเท่าไหร่ งบประมาณแผ่นดิน 6-8 หมื่นล้านนี้ เป็นเงินภาษีจำนวนมหาศาล ที่ต้องถูกใช้อย่างชาญฉลาด และตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของประเทศในทุกมิติ

เรื่องที่ 2 ผมชอบเครื่องบินทั้ง 2 แบบ ดังนั้นใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ และคิดว่าผมจะเลือกเชียร์ยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ จะได้ไม่ต้องอ่านต่อ เพราะผมเชื่อว่าสุดท้ายไม่ว่า ทอ.จะเลือกซื้อเครื่องบินรุ่นไหน ก็น่าจะตอบโจทย์ทางยุทธการได้ใกล้เคียงกัน รวมทั้งเครื่องทั้ง 2 แบบ ยังเป็นเครื่องบินที่มีประจำการใน ทอ.อยู่แล้วทั้งคู่

แต่ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้ความจำเป็นทางด้านยุทธการ ก็คือผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะต้องตัดสินใจให้ได้ว่า ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสวีเดน ใครให้ประโยชน์กับประเทศไทยได้มากที่สุดต่างหาก

การจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ต่างๆใน พ.ศ.นี้ แตกต่างจากในอดีต ที่อาจจะคำนึงถึงเฉพาะมิติด้านประสิทธิภาพ และความมั่นคงของประเทศ หรือความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นสำคัญ

แต่มาวันนี้การจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงมิติทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งผลตอบแทนที่จะมาสู่ภาครัฐ รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ควบคู่กันไปด้วย

และเรื่องที่ 3 มาทำความรู้จักกับ นโยบายชดเชย (Offset Policy) ในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ กันสักนิดครับ!

นโยบายชดเชย (Offset Policy) คือ นโยบายที่ประเทศผู้ซื้อยุทโธปกรณ์ตั้งเงื่อนไขเพิ่มเติมจากการซื้อหรือนำเข้ายุทโธปกรณ์ตามปกติ เพื่อให้ผู้ขายต้องชดเชยผลประโยชน์ตอบแทนกลับมายังประเทศผู้ซื้อผ่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่าง ๆ โดยจะต้องมีมูลค่าเป็นสัดส่วนขั้นต่ำตามที่รัฐบาลผู้ซื้อกำหนดในสัญญา

นโยบายชดเชย แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. การชดเชยโดยตรง (Direct Offset) คือ การชดเชยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสินค้าในสัญญานั้น ๆ เช่น การเข้ามาลงทุนเพื่อเปิดสายการผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วน การผลิตร่วมกัน หรือการผลิตตามใบอนุญาตการอนุญาตขายสิทธิบัตรหรือใบอนุญาต และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นต้น

2. การชดเชยโดยอ้อม (Indirect Offset) คือ การชดเชยที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้น ๆ แต่เป็นการช่วยเหลือส่งเสริมด้านอื่น ๆ เช่น การให้คำปรึกษา การวิจัยร่วมกัน การให้งบประมาณช่วยเหลือด้านการศึกษา การอบรม การดูงาน การฝึกการใช้งาน และการซ่อมบำรุง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การชดเชยทั้งสองแบบไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด และในการทำสัญญาหนึ่งอาจมีการชดเชยทั้งสองประเภทอยู่ในสัญญาได้

โดยล่าสุดผมเห็นข่าวว่า ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่ F-16 แถลงข่าวพร้อมมอบข้อเสนอชดเชยทางเศรษฐกิจ (Offset / a robust industrial participation proposal) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเครื่องบินรบ เช่น การช่วยยกระดับ Datalink ให้กับไทยเพิ่มเติม และการพัฒนาศูนย์วิจัยและอบรมแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบินรบ ตลอดจนโอกาสในการให้ไทยเป็นศูนย์การผลิตชิ้นส่วน (Supply Chain) ให้กับ Lockheed Martin

ซึ่งผมอ่านข้อเสนอทั้ง 7 ข้อแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับไทยแน่นอน แต่ก็ยังมีหลายข้อที่ลอยๆ ไม่ชัดเจน ซึ่งผมจะนำมาอธิบายให้ฟังใน EP ต่อๆไป แต่ที่สำคัญก็คือคงต้องรอฟังข้อเสนอของ Saab ด้วย ว่าจะเสนอนโยบายชดเชยมากันอย่างไรบ้าง

เพราะที่ผ่านมาการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของทุกเหล่าทัพ เคยมี นโยบายชดเชย Offset Policy ที่ทำสำเร็จ จับต้องได้ และนโยบายออฟเซตทิพย์ ที่แหกตาคนอนุมัติมาแล้ว ผมจึงอยากเชิญชวนผู้ที่สนใจมาติดตามเรื่องเหล่านี้ไปพร้อมๆกัน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์

ทั้งนี้ เพื่อร่วมกันฉายภาพให้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตรวจสอบ และสาธารณชนทั่วไป ได้เห็นมุมมอง และข้อเท็จจริงต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประเทศไทยได้ข้อเสนอ ที่ดีที่สุด และมีสัญญาในลักษณะเป็นเพ็กเกจ (ของการจัดซื้อทั้งฝูงบิน) ที่เกิดประโยชน์กับประเทศอย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ทุกฝ่าย มีความรัดกุม รอบคอบไม่เปิดช่องให้ผู้เสนอขายบิดพริ้วได้ในอนาคต เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

ขอจบ #EP1 เพียงเท่านี้ คอยติดตาม EP 2 ไปด้วยกันนะครับ