หมายเหตุ – หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จัดงาน PRACHACHAT ESG FORUM 2024 หัวข้อ Time for Action : พลิกวิกฤตโลกเดือด โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ ที่แกรนด์ฮอลล์ ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก (เพลินจิต) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม
“เราคงจะได้ยินว่าเรื่องของโลกร้อน มีสัญญาประชาคม มีการจัดประชุม เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน ที่สำคัญที่สุด การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 2564 หรือ คอป 26 ซึ่งผมไม่อยากเรียกว่าการสัญญา ผมขอเรียกว่า commitment แปลว่า เป็นสิ่งที่คนร่วมสัญญารู้แล้วว่ากำลังมีภัยมาถึง ดังนั้น ทุกคนต้องมี commitment เพื่อความอยู่รอด ดังนั้น จึงไม่อยากเรียกสัญญา แต่คือพันธกิจที่จะต้องทำให้ลุล่วง
สำหรับประเทศไทยก็ได้รับโจทย์ เราจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงเหลือ 30% ในปี 2573 (2030) ซึ่งคืออีกเพียง 6 ปีจากนี้เอง เราจะลดได้เหลือ 30% หรือไม่ ฟังแล้วก็ยังลำบาก แต่ถ้ามองโจทย์ต่อไป เขาให้เวลาอีก 20 ปี หรือปี 2050 อยากจะเห็นไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และการเป็นกลาง และให้เวลาอีก 15 ปี คือการเป็น Net Zero มาดูกันว่าในอีก 40 ปีข้างหน้า โลกจะไปสู่ Net Zero ได้หรือไม่
คำถามต่อไป เมื่อมี Commitment แบบนี้แล้ว แต่ถ้าเรายังนิ่งเฉย หรือทำแล้วไม่บรรลุ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ที่แน่ๆ ถ้าเรายังปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้โลกร้อนต่อไปเรื่อยๆ ภาคการผลิตจะมีปัญหาแน่นอน เพราะขณะที่ผลิต ก็ปล่อยของเสียเหล่านี้ออกมา ไม่สามารถ commit ได้ ก็จะส่งออกไม่ได้
แล้วไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก แม้วันนี้จะลดลงแล้ว จากสัดส่วน 70% ของรายได้ประเทศ เหลือ 65% แล้วก็ตาม ถ้าลองนึกภาพว่าไทยปลูกข้าว แล้วไม่มีใครซื้อ ให้บริโภคเองในประเทศ คือภาคการผลิตมีปัญหาส่งออกไม่ได้ แต่ถ้าให้ส่งออกได้ ต้องหาอะไรมาชดเชย ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องไปซื้อสิ่งที่คนอื่นเก็บมลพิษได้ และเทรดได้ เพื่อแลกกับการส่งออก ต้นทุนจะแพงมาก ผู้ผลิตไม่สามารถอยู่รอดได้แน่นอน
ภาคการลงทุน ถ้าทำตลาดไม่ได้ การลงทุนจะหายหมด ใครจะลงทุน เมื่อลงทุนแล้วขายไม่ได้ โดยเฉพาะจากต่างประเทศ คงไม่มีใครอยากลงทุนที่นี่ ตลาดคือโลกใบนี้ ไม่มีใครอยากมาลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ หรือ FDI ที่เราเรียกหา ก็จะไม่มา ฉะนั้น จึงไม่แปลกใจที่ข่าวในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนโดยตรงในไทย ในช่วง 3 ปีนี้ คือ 2566-2568 ประเมินคร่าวๆ น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามา 2 ล้านล้านบาท
แต่ทุกคนต้องการ 3 สิ่ง ดังต่อไปนี้ 1.พลังงานสีเขียว ต้องการวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลาสั้น และต้องการคนที่เข้าใจ หรือคนที่ตรงกับความต้องการ เมื่อมีความต้องการที่ชัดเจน และนักลงทุนส่งสัญญาณตั้งแต่วันนี้แล้ว เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ต้องการสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะอยู่รอดได้เช่นกัน ถ้าการผลิตมีปัญหา การลงทุนมีปัญหา อย่างอื่นคงไม่ต้องพูดถึง แม้จะไปลงทุนภาคการเงิน คงไม่มีใครให้แหล่งเงินในการลงทุน เพราะลงทุนแล้วไม่เวิร์ก
คำถามต่อไปคือ วันนี้ประเทศอยู่ห่างจากเป้าหมายที่มีพันธกิจไว้เท่าไหร่ ข้อมูลล่าสุด ไทยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 370 ล้านตัน ฉะนั้น ถ้าเราสัญญาว่าในอีก 6 ปีข้างหน้า จะลดให้ได้ 30% ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยในปัจจุบัน คิดง่ายๆ ว่าต้องลดที่ 120 ล้านตัน แต่ที่ผ่านมาเกือบ 10 ปี ยังอยู่เท่าเดิม ยังไม่ได้ลดอะไร และตอนนี้เหลือ 6 ปีแล้ว จะทำอย่างไรให้ลดลงได้ 120 ล้านตัน
ทั้งนี้ คาร์บอนไดออกไซด์ 370 ล้านตัน เกิดจากภาคพลังงาน อาทิ การผลิตไฟฟ้า ผลิตน้ำมัน 70% ภาคการเกษตร คาดว่ามีเนื้อที่ 70 ล้านไร่ คิดเป็น 15% อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการผลิต 10% และขยะ ทั้งขยะทั่วไปที่เราทิ้ง และขยะจากอุตสาหกรรม อีกประมาณ 5%
ตอนนี้คือ ‘Time for Action’ ซึ่งใครจะแอ๊กชั่น ส่วนไหนต้องมาดูกัน แม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Time for Action แน่นอน และหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำตอบว่าเราจะทำตามเป้าได้สำเร็จหรือไม่ใน 6 ปีนั้น ถ้าจะลดได้ ต้องโชว์ให้ชาวบ้านดูว่าเราผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อน ซึ่งใน 1 ปี ไทยใช้ได้ 365 วัน 24 ชั่วโมง ฉะนั้น ทั้งปีคือ 8,740 ชั่วโมง และการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อน สามารถทำได้ครึ่งหนึ่งของปี หรือราว 4,000 หน่วย
ทั้งนี้ ถ้ารวบรวมเขื่อนทั้งหมดที่ไทยมี และอยู่รอบๆ ประเทศ แล้วเรา commit ด้วยตนเอง ได้สัก 7,500 เมกะวัตต์ ซึ่งบ้านเราใช้ไฟอยู่ 3.1-3.2 หมื่นเมกะวัตต์ และประสิทธิภาพทำงานของเขื่อนตามจริงประมาณ 50% หรือ 3,750 เมกะวัตต์ ดังนั้น จะประมาณ 1 ใน 8 ที่ต้องการใช้ แล้วรันทั้งปี จะได้ประมาณ 30 ล้าน REC หรือใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) ซึ่ง 2 REC เท่ากับ 1 คาร์บอน ฉะนั้น 30 ล้าน REC เท่ากับลดคาร์บอนได้ 15 ล้านตันคาร์บอน จากที่ต้องลด 120 ล้านตัน
ถ้าเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากการใช้โซลาร์เซลล์ ที่มีประสิทธิภาพตามจริง 19% ดังนั้น กำลังผลิต 7,500 เมกะวัตต์ ได้จริง จะลดคาร์บอนได้เพียง 5 ล้านตัน รวมแล้วทำได้เพียง 20 ล้านตันเท่านั้น จาก commitment เราทำไว้ว่าจะลด 120 ตันคาร์บอน ขาดอีก 100 ตันคาร์บอน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของประเทศ
ขณะที่ด้านการเกษตร ใน 60 ล้านไร่ที่ปลูกข้าว ถ้ามีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเก็บคาร์บอน 10-20 ล้านไร่ ปีหนึ่งถ้าผลิตข้าวได้ประมาณ 2 รอบ จะลดการปล่อยคาร์บอนได้ 10-20 ล้านตัน หรือ 1 ไร่ ทำได้ครึ่งตัน
ทำไมการเปลี่ยนการปลูกข้าวเพื่อลดคาร์บอนถึงได้ผลเยอะนั้น มีงานศึกษาระบุว่า การปลูกข้าวของไทยเป็นแบบโบราณ ต้นข้าวโตขึ้นมาแล้ว น้ำในนาจะอยู่ได้ 15 วันก็แห้ง ถ้าปลูกแบบความเชื่อเดิม เมื่อน้ำแห้งก็ต้องสูบน้ำมาเติมขังไว้ 15 วัน แต่งานวิจัยระบุว่าไม่จำเป็น เพราะแม้ 15 วันน้ำจะแห้งไป แต่ต้นข้าวมีรากลึกพอที่จะเติบโตต่อได้ ดังนั้น ค่อยเติมน้ำหลังจาก 30 วันก็ได้ และการที่มีน้ำขังในนาน้อยลง จะทำให้มีเทนน้อย ซึ่งมีเทนเป็นตัวที่หนักกว่าคาร์บอนอีก มีผลต่อค่าความร้อนในอากาศมาก
ส่วนขยะเป็นปัญหาโลกแตกของไทย ฝังกลบ ไม่ฝังกลบ ขยะอุตสาหกรรม ซากรถยนต์ ซากเหล็ก ในทุกวันนี้มีแค่ผู้ประกอบการรายย่อย ระดับขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เท่านั้นที่รับจัดการต่อ วันนี้ยังไม่มีตื่นตัวว่าจะต้องทำสิ่งเหล่านี้ เพราะคิดว่ามันเปลือง และไม่คุ้ม
ดังนั้น กุญแจที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องนี้มี 3 สิ่ง ซึ่งต้องมีทั้ง 3 สิ่งนี้พร้อมๆ กัน เพื่อทำให้สิ่งที่เราต้องการสำเร็จ คือ 1.คาร์บอนเครดิต และใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน หรือ REC เพียงพอ พูดเหมือนง่าย มีเยอะ เพื่อพิสูจน์ต่อชาวโลก จะทำได้ต้อง 2.นโยบาย และระเบียบที่ผ่อนปรน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ว่ากระบวนการจัดเก็บคาร์บอน เป็นสากล และเป็นที่ยอมรับของชาวโลก และมีมูลค่า ซึ่งของจะมีมูลค่าได้ ก็ต่อเมื่อมี 3.การซื้อขาย เหมือนเครื่องมือทางการเงินทั่วไป มีดิจิทัล แพลตฟอร์มที่ใช้ซื้อขาย ขณะนี้ดูไปที่ TDX หรือ Thai Digital Assets Exchange หรือบริษัท ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย จำกัด ที่ทุกวันนี้ไม่ได้แอ๊กทีฟ เหมาะกับการใช้ และอยากผลักดันให้เกิด เพื่อให้เห็นว่า 1 REC มีค่าเท่าไหร่ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ขณะนี้สิงคโปร์มีมาตรการเกี่ยวการลดคาร์บอนแล้ว คือใครที่จะส่งสินค้าเข้าสิงคโปร์ ถ้ามีส่วนที่ปล่อยคาร์บอนอยู่ จะต้องเสีย 25 เหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 17 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 REC และมีการปรับขึ้นเป็นขั้นบันได ซึ่งในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นไปเป็น 70 เหรียญดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 49 เหรียญสหรัฐ ต่อ 1 REC และ 2 REC เท่ากับ 1 ตันคาร์บอน ดังนั้น ราคาของคาร์บอนในปี 2030 จะอยู่ราว 98 เหรียญสหรัฐ ซึ่งราคานี้พอๆ กับราคาที่ซื้อขายคาร์บอนในยุโรป ราว 100 เหรียญสหรัฐต่อตัน สะท้อนว่าโลกกำลังเดือด
วันนี้ในไทยมีคนที่เก็บ REC อยู่เหมือนกัน แต่ซื้อขายกันที่ราคาเพียง 2 เหรียญสหรัฐ เทียบกับราคาในสิงคโปร์ที่ตลาดอยู่ติดกันแล้ว ต่างกันมาก แต่ถ้าเทรดกันในตลาด ราคาจะวิ่งขึ้นแน่นอน ดังนั้น REC ซื้อได้ เราอาจเห็นคนจากประเทศอื่นซื้อ แล้วก็เข้าแพลตฟอร์ม แล้วทำไมจะทำแบบคนอื่นไม่ได้
ถ้าทำสิ่งเหล่านี้แล้ว ส่วนที่ 1 อยากจะเห็นศักยภาพที่มองไปรอบๆ แล้ว ถ้าซีเรียสที่จะทำ ก็อยากจะเห็นก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง เมื่อเกิดการตื่นตัวทั้งประเทศ ที่ทำทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระบบปัจเจกบุคคล เอสเอ็มอี บริษัทขนาดกลาง ขนาดใหญ่ จะทำแอ๊กทิวิตี้อะไรก็ช่วยลดได้ จะจัดแข่งกีฬา มีผู้ชม 4-5 หมื่นคน แล้วมีแคมเปญลดไม่ทิ้งกระป๋อง ขวดน้ำ ก็ทำได้ ถ้าบริษัทน้ำมันจะเก็บคาร์บอนจากในอ่าว ก็ยิ่งช่วยได้
ส่วนที่ 2 อยากเห็นการเพิ่มสัดส่วนขึ้น renewable ใน Power Grid ในไทย เพราะตอนนี้สัดส่วน renewable ในไทยยังน้อย เพราะตอนเกิดใหม่ๆ ราคาแพง แต่ตอนนี้ให้ราคาถูกเกินจนไม่คุ้มทุน ฉะนั้น จึงไม่ค่อยเกิด
ส่วนที่ 3 ต้องดูการลงทุนในตัวพลังงานหมุนเวียน ที่ตอนนี้มีรีเทิร์นที่ 6% อาจจะต่ำไปหรือไม่ แต่พอรวมกับ REC ที่ผ่านการรับรอง และนำไปซื้อขายได้ ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อาทิ เขื่อน 100 เมกะวัตต์ เราสามารถมีรายได้ 500 ล้านบาทได้
ส่วนที่ 4 การเพิ่มความน่าสนให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะ FDI ถ้านักลงทุนรู้ว่าไทยกำลังตื่นตัวเรื่องนี้ จะรีบมากันเลย เพราะไทยเป็นบรรยากาศที่เหมาะกับที่เขาจะอยู่ สินค้าที่ผลิตเป็นที่ต้องการของทั่วโลก
สุดท้าย ส่วนที่ 5 ไทยสามารถปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา หรือ commitment ได้ เป็นชื่อเสียง เป็นหน้าตา และเป็นส่วนหนึ่งประชาคมโลก และพร้อมขีดความสามารถของประเทศในเวทีโลก นี้คือสิ่งที่ไทยจะได้
ทั้งนี้ หันกลับมาในหมวกของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลต้องมี commitment ด้วย โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งหน่วยงานคือ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง และมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นองค์กรอิสระที่อาสาทำเรื่องนี้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้ คือความเดือดร้อน โลกเดือด ปัญหาที่ประเทศไทยต้องกล้า แต่มีความท้าทายซ่อนอยู่ ถ้าทำได้มากกว่าที่เราเป็น ประเทศไทยจะสามารถก้าวไปเป็นผู้นำในอาเซียน กลายเป็นผู้ส่งออกคาร์บอนเครดิต แทนที่จะเป็นคนซื้อ”