หมายเหตุ – นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชช.) ให้สัมภาษณ์
“มติชน” ถึงการขับเคลื่อนแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 และการเดินหน้าขับเคลื่อนพรรค ปชช. นับจากนี้
- กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา
ต้องยอมรับว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาทั้งทางการเมืองและสังคม มีปัญหาทั้งความชอบธรรม กระบวนการได้มา และเนื้อหา จะเห็นได้ว่ากระบวนการคัดเลือก ส.ว.ชุดใหม่ กรณีการยุบพรรคก้าวไกล การถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ด้วยประเด็นของมาตรฐานจริยธรรม ทุกปัญหาเหล่านี้ล้วนมีต้นตอมาจากรัฐธรรมนูญ 2560
ส่วนตัวคิดว่าต้องมีทางออกตามรัฐธรรมนูญ ในมุมมองของพรรคประชาชน ยืนยันหลักการมาตั้งแต่พรรคก้าวไกล มองว่าทางออกเรื่องนี้ ต้องเดินคู่ขนานไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง
อย่างที่ 1 คือ ต้องผลักดันให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด ผ่านสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีกระบวนการในการได้มาที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลา
จึงต้องมีเรื่องที่ 2 ที่ต้องเดินคู่กัน คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ในประเด็นที่เร่งด่วน ประโยชน์ที่ได้คือ 2 เด้ง เด้งที่ 1 คือ ทำให้หลายปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนถูกแก้ไข แม้จะยังไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เด้งที่ 2 คือ การเปิดเผยเรื่องเนื้อหาที่เราอยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา พรรคก้าวไกลยื่นแก้ไข หลังจากมี ส.ว.ชุดใหม่ เข้ามาทำหน้าที่ เพราะตระหนักว่าหากยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราไปกับ ส.ว.ชุดเดิมก็จะเจอกับผลลัพธ์เหมือนเดิม เพราะก่อนหน้านี้ตั้งแต่มี 250 ส.ว.เข้ามาทำหน้าที่ มีการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญไปกว่า 20 ร่าง แต่ ส.ว.ให้ความเห็นชอบเพียงร่างเดียว คือ ระบบเลือกตั้งให้มีบัตร 2 ใบ ทั้งที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกว่า 10 ร่างที่ได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส. แต่มาไม่ได้เสียง ส.ว.ครบ 1 ใน 3 จึงต้องรอให้ ส.ว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่
ที่ผ่านมา เราได้ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญไป ชุดแรก คือ การลบล้างผลพวงรัฐประหาร ที่เสนอแพคเกจนี้เข้าไปชุดแรก เพราะเห็นว่าทุกฝ่ายน่าจะมีจุดยืนตรงกัน คือ ไม่ควรจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศ และควรต้องมีการลบล้างผลพวงรัฐประหารด้วย
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชุดแรก แบ่งเป็น 3 ร่าง คือ 1.ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกมาตรา 279 ซึ่งเป็นคำสั่งให้การรับรองรัฐประหารเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จะทำให้ประชาชนสามารถไปร้องต่อศาลได้ว่า คำสั่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร ไม่ชอบธรรม ซึ่งเราจะเดินคู่ขนานในสภาผู้แทนราษฎรกับการเดินหน้ายกเลิก พ.ร.บ.คำสั่ง คสช.
2.เรื่องการเพิ่มหมวดการป้องกันรัฐประหาร เป็นการเพิ่มสิทธิของประชาชนในการป้องกันรัฐประหาร รวมถึงการทำให้ทุกฝ่าย รวมทั้งศาลไม่รับรองการทำรัฐประหาร ไม่มีการนิรโทษกรรมผู้ทำรัฐประหาร สามารถดำเนินคดีผู้ทำรัฐประหารได้
3.การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งมองว่าขาดความชอบธรรมเนื่องจากถูกร่างมาจากรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร ไม่ได้มีกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง รวมทั้งขาดความยืดหยุ่น เพราะเอาตัวยุทธศาสตร์ชาติและแผน ไปอยู่ในกฎหมาย แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในการผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้จากการเลือกตั้ง รวมทั้งมีความเสี่ยงที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง เปิดช่องให้ใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเอาผิดหน่วยงานรัฐที่ไม่ทำตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้
คาดว่าจะได้รับการบรรจุวาระเข้าสู่การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดนี้
- การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ ถือเป็นการชี้วัดจุดยืนของ ส.ว.ชุดใหม่ด้วย
ในมุมหนึ่งต้องยอมรับว่า ส.ว. 250 คน ไม่เคยให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งการแก้ไขมาตรา 279 ครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์จุดยืนของ ส.ว.ชุดใหม่ ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย จึงยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญชุดแรกไปก่อน
ส่วนชุดที่สอง คือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ มี 3 ประเด็น คือ
1.ทบทวนโครงสร้างของที่มาของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนมากขึ้น
2.มาตรฐานจริยธรรม จุดยืนของพรรค ปชช. มองว่าเรื่องจริยธรรมอยู่ที่การตีความที่ไม่เหมือนกัน เรามองว่าหาไม่ใช่การกระทำผิดที่มีกฎหมายชี้ชัดไว้อย่างชัดเจนแล้ว ก็ควรเป็นความรับผิดรับชอบทางการเมือง ไม่ควรให้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมาผูกขาดการวินิจฉัยในเรื่องจริยธรรม
3.การทบทวนเงื่อนไขการยุบพรรค ประเด็นนี้อาจไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ สามารถแก้ไขในระดับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองได้
ในประเด็นเรื่องการแก้ไขที่มาของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเชื่อว่าจะสามารถอภิปรายทำความเข้าใจก่อนรับหลักการได้ ทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคอื่นๆ ที่มีจุดร่วมตรงกันในหลายเรื่อง
- พรรค ปชช.มองว่าวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไร
ข้อเรียกร้องของพรรคก้าวไกลเดิม มีอยู่ 2 อย่าง คือ 1.การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กับ 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น เรามองว่าควรต้องมีกลไกทำให้เกิดขึ้นเร็วที่สุดและเป็นกระบวนการที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยที่สุด มองว่า ควรมาจากการร่างของ ส.ส.ร. และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมาได้และวางรากฐานที่สำคัญทางประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นแบบเต็มใบของประเทศ ส่วนกรอบเวลา มองว่าหลายเรื่องของรัฐบาล ตัดสินใจช้าเกินไป เช่น การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาว่าจะมีการจัดทำประชามติกี่ครั้ง พอศึกษาเสร็จคณะกรรมการมีมติให้ทำประชามติ 3 ครั้ง แต่ยังไม่ได้เดินหน้าทำประชามติทันที มีการใช้กลไกการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมกับระบุว่าจะให้มีการแก้ไขกฎหมายประชามติให้เสร็จก่อน
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในทุกๆ ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องรัฐบาลสามารถทำไปพร้อมๆ กันได้เลย ไม่ต้องรอให้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเสร็จก่อน เพื่อความเป็นธรรมกับรัฐบาล ไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการยื้อเวลา ซึ่งผ่านมาเกือบ 1 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด หากไม่เริ่มทำประชามติให้ครบ 3 ครั้ง ผมมองว่ายากมากที่เราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนการเลือกตั้งปี 2570
สิ่งที่คาดหวังจากรัฐบาลชุดใหม่ คือ โรดแมปการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนในการแถลงนโยบายต่อสภาว่าจะเป็นอย่างไร และอยากให้รัฐบาลยืนยันว่า ส.ส.ร.ที่จะมายกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์
- ความหวังต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราจะเกิดขึ้นได้หรือไม่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา พอยื่นร่างเข้าไปพิจารณาก็จะเห็นจุดยืนของแต่ละฝ่ายทันที ส่วนการยกร่างฉบับใหม่ สิ่งที่เราอยากเห็นถึงกระบวนการและกรอบเวลาในการยกร่างที่ชัดเจน แต่อยากให้มองว่าทั้งสองเรื่องสามารถเดินคู่ขนานกันได้ ทั้งการแก้ไขแบบรายมาตราและการยกร่างฉบับใหม่ ไม่ใช่ต้องให้
รอเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เพราะการแก้ไขแบบรายมาตราสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วย
เหมือนกัน
- การมองการเดินหน้าพรรค ปชช. ผ่านตัวชี้วัดทั้งยอดสมัครสมาชิกพรรคและยอดเงินบริจาคเข้าพรรคอย่างไร
ตัวชี้วัดพรรค ปชช. มีหลายตัวชี้วัด แน่นอนว่าตัวชี้วัดที่จะบอกภาพรวมได้ นั่นคือ ผลการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งถัดไป ในปี 2570 จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานที่สำคัญของพรรค ปชช.นับจากนี้ จะเรียกความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ระหว่างทางก็มีตัวชี้วัดบางอย่าง ชี้วัดได้ ทั้งยอดสมาชิกพรรค ยอดเงินบริจาคเข้าพรรคในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่มีการก่อตั้งพรรคก้าวไกล จนถึงถูกยุบพรรคมีสมาชิกพรรค 1 แสนคน มาถึงพรรค ปชช.ตั้งมาได้ประมาณ 1 สัปดาห์ มียอดสมาชิกพรรคกว่า 6 หมื่นคนแล้ว แต่ที่น่าสนใจในจำนวนที่สมัครสมาชิกพรรคกว่า 6 หมื่นคน มีจำนวนที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคแบบตลอดชีพ มากกว่าเมื่อครั้งพรรค ก.ก. จากการพูดคุยหลายคนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ก.ก.มาก่อน
แต่ตัดสินใจมาสมัครสมาชิกพรรคครั้งแรก ส่วนตัวชี้วัดเรื่องเงินบริจาค ไม่ใช่แค่ตัวเงิน แต่ที่ผมสนใจคือ กลุ่มคนที่มาบริจาคเงินเข้าพรรค ไม่ใช่การบริจาคเงินแบบกลุ่มก้อนในหลักล้าน แต่เป็นการบริจาคระดับ 800 บาท 1 พันบาท ที่เป็นการกระจายตัวหลายคน ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการสร้างพรรคที่มีความเชื่อมั่นจากประชาชนอย่างกว้างขวาง
ถ้าเป็นการเลือกตั้ง เมื่อยังไม่มีการเลือกตั้งใหญ่ การเลือกตั้งที่ใกล้ที่สุด คือ การเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี ในวันที่ 1 กันยายนนี้ กับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 ในวันที่ 15 กันยายนนี้
ซึ่งบริบททางการเมืองไม่เหมือนกัน และเป็นสนาม ท้องถิ่นแรกที่พรรค ปชช. ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี
การเลือกตั้งทั้งสองกรณี จะไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า จะเป็นอีกบททดสอบสำคัญของพรรค แต่จะให้ขยายผลไปถึงการเลือกตั้งปี 2570 คงยังชี้ชัดไม่ได้
- การเดินหน้าพรรค ปชช. เหมือนเป็นการปิดเกมเร็ว ภายหลังยุบพรรค ก.ก.
ส่วนตัวยืนยันในหลักการที่ว่าไม่ควรที่จะมีการยุบพรรค แต่เมื่อต้องเผชิญกับการยุบพรรค เราก็ต้องเตรียมความพร้อมไว้ทุกฉากทัศน์ เพื่อให้การขับเคลื่อนอุดมการณ์ของพรรค ก.ก.เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น สะท้อนผ่านการเข้ามาสมัครสมาชิกพรรค ปชช. ของ 143 ส.ส.ของอดีตพรรค ก.ก. แบบครบถ้วน อย่างไม่มีใครลังเล
ยืนยันว่าอุดมการณ์ของพรรค ปชช. ก็สืบต่อมาจากพรรค ก.ก. และมีความเข้มข้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งระบบการเมืองที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ปัญหาการศึกษาที่ล้าหลัง ความเหลื่อมล้ำในสังคม ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน การผูกขาดของกลุ่มทุน ปัญหาที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น พรรค ปชช.ยังเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ในบทบาทของฝ่ายค้าน
- หัวหน้าพรรค ปชช.ตั้งเป้าชนะเลือกตั้งครั้งหน้า ให้ได้เสียงจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว มีความเชื่อมั่นแค่ไหน
มองว่าทุกพรรคการเมืองต้องตั้งเป้าหมายในการชนะเลือกตั้งให้มากที่สุด การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวก็เป็นเป้าหมายในการขับเคลื่อนวาระ และนโยบายต่างๆ ให้เกิดความสำเร็จได้
แต่จะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ ยังเร็วเกินไปที่จะพูดแต่ต้องพิสูจน์ในการทำงานของพรรค ปชช.นับจากวันนี้ ไปจนถึงอีก 3 ปีข้างหน้าว่าจะทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าจะขับเคลื่อนประเทศไปได้จริง ผ่านบทบาทของพรรคฝ่ายค้านว่าเราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ทั้งการออกกฎหมายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชนจับต้องได้
- มองอย่างไรที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพรรค ก.ก. ยิ่งยุบยิ่งโต
มองเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก ผมยืนยันเสมอว่าการยุบพรรค ก.ก. ทำลายพรรคไม่ได้ เพราะอุดมการณ์ที่มีอยู่นั้น สามารถมีพาหนะใหม่ขับเคลื่อนต่อไปได้ และวันนี้ก็พิสูจน์แล้ว สิ่งที่จะทำลายนั้นไม่ใช่พรรค แต่เป็นประเทศ ก็จะมีการตั้งคำถามจากนานาประเทศว่ากฎหมายในบ้านเรานั้น รวมไปถึงรัฐธรรมนูญ กำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
รวมทั้งระบบการเมืองไทยกำลังออกแบบให้ไปขยายอำนาจสถาบันการเมืองบางส่วนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนสามารถเข้ามาขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งได้ หรือไม่
ประเด็นที่สอง ในการยุบพรรค ผมเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ใช้คำว่า ยิ่งยุบยิ่งโต เพราะมีความเชื่อว่าไม่ยุบพรรค เราก็โตได้ และเราต้องการจะโตแบบไม่ต้องยุบมากกว่าคิดว่าในระยะยาวเราจะโตได้มากขึ้นแค่ไหน ไม่ใช่แค่ถูกจัดการโดยกระบวนการนิติสงคราม แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรามีแนวนโยบาย มีบุคลากร ที่เรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนได้มากแค่ไหน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริง เรื่องนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเติบโตของพรรค ปชช.
เราจะใช้ทุกพื้นที่ในการขับเคลื่อนพรรค ปชช. 1.ในสภา ทั้งการเสนอกฎหมายสำคัญๆ การทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาล 2.งานท้องถิ่น หากอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ หากมีการเลือกตั้งก็ขอเชิญชวนให้มาเลือกพรรค ปชช. ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์การนำนโยบายมาสู่การปฏิบัติได้
และ 3.พื้นที่ทางความคิด การนำนโยบายที่ตอบโจทย์ต่อการแก้ปัญหาให้กับประชาชนและประเทศ