เปิดประวัติ 13 ครม.หน้าใหม่ รัฐบาลอิ๊งค์ 1 มีถึง 8 คนเป็นผู้หญิง
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) แพทองธาร ชินวัตร 1 เรียบร้อยแล้ว ในช่วงสายวันที่ 4 กันยายน 2567
ทั้งนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีใหม่เข้าถวายสัตย์ วันที่ 6 ก.ย.67 เวลา 17.00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
Matichon Information Center หรือ ศูนย์ข้อมูลมติชน ได้รวบรวมประวัติของ 13 รัฐมนตรี “หน้าใหม่” ใน ครม.แพทองธาร 1 ไว้ดังนี้
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (อายุ 38 ปี) นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 31 ที่ สร้างสถิติใหม่หลายด้าน ได้แก่ นายกรัฐมนตรีไทยที่อายุน้อยที่สุดขณะเข้าดำรงตำแหน่ง (อายุ 37 ปี, นายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่มีบิดาและอาเคยเป็นนายกรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่เกิดในยุคมิลเลนเนียล, นายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น)
เส้นทางการเมืองของ น.ส.แพทองธาร เริ่มต้นในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรค เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2564 ต่อมา ในการประชุมของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2565 น.ส.แพทองธาร ได้รับตำแหน่ง “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ซึ่งได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นการปูทางให้พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อเธอเป็นผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
ธันวาคม 2565 ป้ายหาเสียงชุดแรกของพรรคเพื่อไทย จำนวน 8 รูปแบบทุกป้ายในชุดดังกล่าวจะมีภาพ “แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
มกราคม 2566 น.ส.แพทองธารกล่าวว่า พร้อมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อีกทั้งระบุพร้อมจะจับมือกับทุกพรรคหากมีความคิดเรื่องนโยบายตรงกัน, เห็นพ้องในความเป็นประชาธิปไตย และเคารพเสียงของประชาชน
เมื่อพรรคเพื่อไทยชิงธงจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ เป็นเงื่อนไขให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อรับผิดชอบคำพูดของตนหลังจากนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าร่วมรัฐบาล ในวันที่ 27 ตุลาคม พรรคเพื่อไทยได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และที่ประชุมมีมติเลือก น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่เป็นคนที่ 8 โดยเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว
13 กันยายน พ.ศ.2566 ในการประชุมนัดแรกของคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 63 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และแต่งตั้งให้ น.ส.แพทองธาร เป็นรองประธานกรรมการ ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม นายเศรษฐาได้แต่งตั้งเธอเพิ่มอีก 2 ตำแหน่ง คือประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
16 สิงหาคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 15 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เสนอชื่อ น.ส.แพทองธาร เป็นบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เธอดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 319 เสียง ไม่เห็นชอบ 145 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง และไม่มาประชุม 2 คน คือ ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ
นายสรวงศ์ เทียนทอง (อายุ 49 ปี) รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
เป็นบุตรคนโตของ นายเสนาะ เทียนทอง กับ นางอุไรวรรณ เทียนทอง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านบริหารธุรกิจ สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ จาก Johnson & Wales University ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสระแก้วครั้งแรก ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2548 สังกัดพรรคไทยรักไทย ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง ในสังกัดพรรคประชาราช ซึ่งมีนายเสนาะเป็นหัวหน้าพรรค และในการเลือกตั้ง พ.ศ.2554 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สาม ในสังกัดพรรคเพื่อไทย
นายสรวงศ์ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปลายเดือนมิถุนายน พ.ศ.2556 แทน นพ.ชลน่าน และยังคงเหนียวแน่นอยู่กับพรรคเพื่อไทย ในปี 2562 ลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดสระแก้วในการเลือกตั้ง พ.ศ.2562 สังกัดพรรคเพื่อไทย ในขณะที่สมาชิกในตระกูลเทียนทองคนอื่นๆ เช่น นายฐานิสร์ เทียนทอง และ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ แต่นายสรวงศ์ไม่ได้รับเลือกตั้ง
ในปี 2566 นายสรวงศ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดสระแก้วในการเลือกตั้ง พ.ศ.2566 สังกัดพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย
ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสรวงศ์เป็นผู้ยื่นหนังสือเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯและสมาชิกพรรคทุกคนมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นเพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ (อายุ 63 ปี) รมว.พาณิชย์
นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจอัญมณีและการส่งออก เจ้าของบริษัท เจมส์ควอลิตี้ จิวเวอร์รี่ จำกัด เข้าสู่การเมืองด้วยการเป็นผู้สนับสนุนการเงินให้กับกลุ่มขอนแก่น พรรคเพื่อแผ่นดิน ของ นายสุวิทย์ คุณกิตติ ต่อมาจึงได้หันมาสนับสนุนพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยแทน โดยในปี พ.ศ.2551 นายพิชัยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2554 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อมาถูกปรับออกจากตำแหน่งในเดือนมกราคม พ.ศ.2555
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ.2562 เขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคไทยรักษาชาติ ลำดับที่ 9 แต่พรรคไทยรักษาชาติ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก่อนวันเลือกตั้ง
ในปี 2563 นายพิชัยได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ให้เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และรองประธานยุทธศาสตร์และการเมืองพรรคเพื่อไทย ในรัฐบาลนายเศรษฐา เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งนายพิชัยได้ใช้บทบาทนี้ในการกล่าววิพากษ์วิจารณ์ ธปท.ว่า ควรจะต้องดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางรัฐบาล มากกว่าที่จะตัดสินเองว่าเศรษฐกิจขยายตัวขนาดไหนถึงเหมาะสม เพราะรัฐบาลอยากให้เศรษฐกิจขยายตัวให้ได้ 5% ตามศักยภาพที่น่าจะทำได้ แต่ ธปท.กลับเห็นว่าศักยภาพไทยอยู่เพียง 3% หรือลดศักยภาพไทยลงมา ซึ่งไม่ตรงกับแนวทางของรัฐบาล
นายพิชัยมีบุตร 3 คน คนโตคือ นายพชร นริพทะพันธุ์ เคยเป็นกรรมการบริหารและคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ในชุดการบริหารงานของ นพ.ชลน่าน ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช. ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการโทรทัศน์และโทรคมนาคมแห่งชาติ และนายพชรยังเข้าศึกษาที่ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต รุ่นที่ 1 โดยมีเพื่อนร่วมรุ่น คือ น.ส.แพทองธาร
นายชูศักดิ์ ศิรินิล (อายุ 76 ปี) รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีก 2 สมัยติดต่อกัน ระหว่างปี พ.ศ.2532-2537 เข้าสู่วงการการเมืองโดยการเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคไทยรักไทย (พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร) และลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในระบบบัญชีรายชื่อ ในปี พ.ศ.2544 และ พ.ศ.2548
ในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 ซึ่งมี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายชูศักดิ์ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดูแลรับผิดชอบงานด้านกฎหมาย ต่อมาภายหลังจากการพ้นจากตำแหน่งของนายสมัคร ซึ่งพรรคพลังประชาชน ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้เสนอชื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และนายชูศักดิ์ได้เข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ในปี พ.ศ.2563 เขาได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ให้เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และในการเลือกตั้งอีก 3 ปีถัดมา เขาได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ในลำดับที่ 4 หลังจาก นพ.ชลน่าน ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2566 ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการมีมติเลือกชูศักดิ์เป็นรักษาการหัวหน้าพรรค ต่อมาในวันที่ 27 ตุลาคม ปีเดียวกัน ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติให้แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และชูศักดิ์เป็นรองหัวหน้าพรรรคอีกครั้ง
ในช่วงการปรับ ครม.เศรษฐา 1/1 นายชูศักดิ์ ได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐตรีประจำสำนักนายกดูแลรับผิดชอบงานด้านกฎหมาย แต่กลับถูกเบียดแซงโดย นายพิชิต ชื่นบาน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชนวนให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด
น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ (อายุ 45 ปี ) รมช.มหาดไทย
เป็นบุตรของ นายวิบูล สำเร็จวาณิชย์ อดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเขตลาดกระบัง ก่อนเข้าสู่วงการการเมือง น.ส.ธีรรัตน์ เคยทำงานอยู่แผนกพัฒนาบุคลากร ฝ่ายยุทธศาสตร์การจัดการเรียนรู้แก่ผู้บริหารระดับสูง ธนาคารกสิกรไทย ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2554 สังกัดพรรคเพื่อไทย ในเขตเลือกตั้งที่ 20 (เขตลาดกระบัง) อันเป็นฐานเสียงของครอบครัว โดยสามารถเอาชนะ นางสลวยเลิศ กิมสูนจันทร์ ภรรยา นายมงคล กิมสูนจันทร์ อดีต ส.ส.และสมาชิกบ้านเลขที่ 109 จากพรรคประชาธิปัตย์ไปได้
ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2566 น.ส.ธีรรัตน์ ลงสมัครรับเลือกตั้งและชนะการเลือกตั้ง โดยได้รับคะแนนเสียง 34,749 คะแนน เอาชนะ นายชุมพล หลักคำ ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลเพียง 4 คะแนน ต่อมาเธอได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล, ประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ของสภาผู้แทนราษฎร และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย
นส.ธีรรัตน์ หรือ ส.ส.อิ่ม เป็นหนึ่งในสองของ ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มเยาวชน และโลกโซเชียลร่วมกับ “ส.ส.น้ำ” จิราพร สินธุไพร ซึ่งปัจจุบันเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงถูกขนานนามว่าเป็นคู่จิ้นที่ได้ชื่อว่า “คูมธีคูมจิ” ซึ่งต่อไปนี้คงจะเป็น “รมต.คู่จิ้น”
น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ (อายุ 39 ปี) รมช.มหาดไทย
เป็นบุตรคนที่ 2 ของ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ จบการศึกษาปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จบการศึกษาปริญญาโทด้านนิติศาสตร์ จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่งงานกับ นายอนันต์ ปาทาน เมื่อเดือนมกราคม 2565 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในช่วงที่ผ่านมามีบทบาท ออกงานสังคม ปฏิบัติหน้าที่ในนามนายชาดาอย่างต่อเนื่อง
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (อายุ 38 ปี) รมว.อุตสาหกรรม
เข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการเป็นเลขานุการส่วนตัวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นบิดาบุญธรรม และในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 นายเอกนัฏในวัย 25 ปี ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร เขต 29 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งไปด้วยคะแนน 37,932 คะแนน
ช่วงวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ.2556–2557 นายเอกนัฏเป็นหนึ่งใน 9 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรค และเข้าเป็นหนึ่งในแกนนำ กปปส. โดยมีบทบาทเป็นโฆษกของการชุมนุมชี้แจงข่าวสารและทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ต่อสื่อมวลชนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ปี 2565 นายเอกนัฏได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับเลือกตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค
ในช่วงที่มีชื่อนายเอกนัฏเข้าร่วมรัฐบาล ปรากฏกระแสข่าวว่าเขาได้ให้ปากคำเป็นพยานในคดี 112 ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ฝ่ายกฎหมายพรรครวมไทยสร้างชาติ ชี้แจงว่า เรื่องนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหมายเรียกนายเอกนัฏไปให้ปากคำ จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริง มิใช่เสนอตัวไปให้การเอง อีกทั้งการให้ปากคำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงต้นปี ไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งใดๆ ปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องคดีไปแล้ว อยู่ในชั้นศาลที่จะตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ (อายุ 51 ปี) รมว.เกษตรและสหกรณ์
จบการศึกษาระดับปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (การเงิน) จากวิทยาลัยวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า และเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินและการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์)
นางนฤมลได้เข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 ของพรรค มีบทบาทด้านนโยบายเศรษฐกิจ และได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาภายหลังลาออกจากตำแหน่งเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2563 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2566 นางนฤมลได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากสมาชิกและทุกตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ
3 ตุลาคม 2566 ได้รับแต่งตั้ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย บทบาทหลักคือการเจรจาขายสินค้าเกษตรประเภทยางพารา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ ร.อ.ธรรมนัส รมว.งเกษตรและสหกรณ์
6 ส.ค.2567 พรรคกล้าธรรม จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2567 เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคชุดใหม่ ผลการลงคะแนนได้มีมติเลือกนางนฤมลเป็นหัวพรรคคนใหม่
ทั้งนี้ “พรรคกล้าธรรม” ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาจากพรรคเศรษฐกิจไทย ของ ร.อ.ธรรมนัส
นายอัครา พรหมเผ่า (อายุ 52 ปี) รมช.เกษตรและสหกรณ์
เป็น น้องชายของ ร.อ.ธรรมนัส จบการระดับปริญญาตรี สาขาสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง, Business Management from TAFE Sydney Instutute Australia ระดับปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ในด้านประสบการณ์การทำงานด้านการเมือง ดำรงดำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา 2 สมัย, กรรมการยุทธศาสตร์ภาคเหนือ พรรคพลังประชารัฐ, คณะทำงานร่างนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัส
นายอิทธิ ศิริลัทธยากร (อายุ 70 ปี) รมช.เกษตรและสหกรณ์
เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดฉะเชิงเทรา 5 สมัย ระหว่างปี พ.ศ.2535 ถึง พ.ศ.2550 สังกัดพรรคชาติพัฒนา พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนตามลำดับ เขายังเป็นหนึ่งในสมาชิก ส.ส.กลุ่ม 16 ที่มี นายสุชาติ ตันเจริญ และ นายเนวิน ชิดชอบ เป็นแกนนำ และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของ นายชวน หลีกภัย (2542-2544)
ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2562 และพ.ศ.2566 นายอิทธิได้สนับสนุนบุตรชายคือ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ ในเดือนเมษายน พ.ศ.2567 นายอรรถกรได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลเศรษฐา
แต่เมื่อ น.ส.แพทองธารฟอร์มรัฐบาลใหม่ ร.อ.ธรรมนัสได้ส่งชื่อของนายอิทธินั่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์แทนนายอรรถกรในโควต้าคนนอก หลังจากพรรคเพื่อไทยมีมติไม่นำพรรคพลังประชารัฐมาเข้าร่วมรัฐบาล โดยนายอิทธิได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐก่อนหน้านี้มาระยะหนึ่งแล้ว
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (อายุ 59 ปี) รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
เจ้าของสโลแกน ประจำตัว “คำไหน…คำนั้น” เริ่มเส้นทางการเมืองโดยการเป็นสมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ส.จ.) ในปี พ.ศ.2533-2543 เป็นประธานสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (พ.ศ. 2538-2540) และเป็นสมาชิกพรรคในวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2539 ก่อนได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ครั้งแรกในการเลือกตั้ง พ.ศ.2544 และได้รับการเลือกตั้งต่อมาในปี พ.ศ.2548, พ.ศ.2550 และ พ.ศ.2554
นายเฉลิมชัยดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลพื้นที่ภาคกลาง ต่อมาในการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2553 เขาได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแทน นายไพฑูรย์ แก้วทอง หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรค ได้ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ซึ่งในวันที่ 15 พฤษภาคม ปีเดียวกัน สมาชิกพรรคก็ได้ลงมติให้เฉลิมชัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค เพื่อเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
9 ธันวาคม 2566 หลังศึกชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคที่ยืดเยื้อมากว่า 5 เดือน ที่จบลงด้วยการถอนตัวของนายอภิสิทธิ์ ทำให้นายเฉลิมชัยในฐานะฝ่าย “อำนาจใหม่” มีชัยชนะเหนือกลุ่มผู้อาวุโสในพรรคฝ่าย “อำนาจเก่า” ขึ้นดำรงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9
29 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายเฉลิมชัยและ นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลาและเลขาธิการพรรค มีมติเป็นเอกฉันท์นำ ส.ส.จำนวน 21 ราย จากพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ทำให้พรรคประชาธิปัตย์จะคงเหลือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพียง 4 ราย ประกอบไปด้วย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และ นายสรรเพชญ บุญญามณี
นายเดชอิศม์ ขาวทอง (อายุ 60 ปี) รมช.สาธารณสุข
เริ่มต้นงานการเมืองในฐานะสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา เขตอำเภอรัตภูมิ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคไทยรักไทย เมื่อปี พ.ศ.2548 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง และย้ายมาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี พ.ศ.2550 ก่อนที่จะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2562 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2564 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ
ในปี 2566 เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังการเลือกตั้งเขามีบทบาทในการพยายามนำพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยการพบปะหารือกับนายทักษิณในต่างประเทศ ต่อมาในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 พรรคประชาธิปัตย์ได้มีมติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค งดออกเสียงให้กับนายเศรษฐา แต่ท้ายที่สุดเขากับสมาชิกในกลุ่มได้ลงมติสวนทางกับมติพรรคประชาธิปัตย์ โดยลงมติเห็นชอบให้นายเศรษฐาเป็นนายกฯ
ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เรื่องการเข้าร่วมรัฐบาลแพทองธาร นายเดชอิศม์อธิบายว่า ส.ส.พรรคในสภาส่วนใหญ่แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่ม ก. ส.ส.ที่พูดเก่ง ตำหนิเก่ง วิจารณ์เก่ง พวกนี้เขาจะทำงานไม่ค่อยเก่ง พวกนี้ก็จะมีความคิดไม่อยากร่วมรัฐบาล ส่วนกลุ่ม ข. พูดอาจไม่เก่ง ตำหนิไม่เก่ง แต่เขาทำงานเก่ง เขาจึงถือว่ารอโอกาสเข้าร่วมรัฐบาล เพราะจะได้มีโอกาสสร้างผลงานให้กับประเทศชาติ และประชาชน เท่ากับสร้างผลงานให้กับพรรคตัวเองได้ด้วย ดังนั้น กลุ่มไหนมากกว่ากลุ่มนั้นก็ชนะ
นอกจากนี้ ครม.อิ๊งค์ 1 ยังมีมีสัดส่วน “ผู้หญิง” ดำรงตำแหน่งอยู่ถึง 8 คน ประกอบด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ, น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม