•…บรรยากาศการเมืองเริ่มส่งกลิ่นเก่าๆ อีกครั้ง ด้วยปฏิบัติไปในทาง “ใช้กำลัง” เข้ารักษาความเรียบร้อย เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านั้นหลัง “ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ” และเริ่มปรับความเคลื่อนไหวเข้าสู่ “โหมดเลือกตั้ง” กลิ่นอายการเมืองก่อความรู้สึกถึง “เสรีภาพมากขึ้น” จะเห็นได้จากผู้คนเริ่มเปิดปากที่จะแสดงความคิดความเห็นต่อความเป็นไปของประเทศชาติ ซึ่ง “เป็นที่รักของทุกคน” ท่าที “ผูกขาดความรักชาติของคนบางคน บางกลุ่ม” จางลง ทว่าชั่วโมงนี้ “ความสดชื่น” เริ่มจางลง มี “บางกลิ่นที่ชวนให้อึดอัด” กลับคืนมาสู่ความรู้สึกของ “เสรีชน”
•…ขณะที่ “ความเป็นไปทางเศรษฐกิจ” ยังเป็นมุมมองที่ขัดแย้งกัน “คนในภาครัฐ” ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นของ “อัตราการเติบโตโดยรวม” ในระดับที่เรียกร้องให้ “คนทั่วไปรู้จักมองประเทศในมุมบวกเสียบ้าง” โดยเป็นท่าทีที่เหมารวม “พวกมองมุมลบ” เป็นกลุ่มไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ขณะที่ “เสียงบ่นของนักธุรกิจไม่ว่าใหญ่ กลาง เล็ก หรือกระทั่งน้อย” ยังเป็นไปในทางเดียวกันคือ “มองไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น” ภาพที่วาดสวยหรู ถูกบางคน บางฝ่ายตีความว่า “เพ้อฝัน” ไปตาม “ธรรมชาติมนุษย์ที่มักคิดในทางปกป้องตัวเอง”
•…และอาจบางที “กลไกปกป้องตัวเอง” เริ่มที่จะทำงานเกินจากแค่ “คำพูด” ไปสู่ “ปฏิบัติการบางอย่าง” อันเป็น “พัฒนาการของการปลอบใจตัวเอง” ที่ใช่แค่ “ความคิด” และ “คำพูด” สู่การ “ควบคุมสิ่งแวดล้อมภายนอกตัว” ให้ไม่ส่งผลสะเทือนต่อ “จินตนาการปกป้องตัวเอง” ให้มาอยู่ในจุดที่ตัวเองรู้สึกปลอดภัยที่สุด ทว่า “ความรู้สึก” นั้นมักจะเป็น “มายาที่บดบังความเป็นจริง” เสมอ เป็น “ความจริงที่ทำใจให้ยอมรับได้ยาก”
•…คล้ายกับว่า เรื่องราวจะจบลงง่ายๆ เพราะ “กระแสเอาด้วยกับอำนาจรัฐ” กระหึ่มกว่ากระแสต่อต้าน เพียงแต่โลกที่ก้าวมาถึงจุดที่ประชาชนเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีสิทธิเสรีภาพ “เสียงส่วนน้อย” ได้รับความเห็นอกเห็นใจเสมอ ด้วยเหตุนี้ “ธรรมกาย” จึงไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้แบบม้วนเดียวจบ ที่ทำให้ยากที่สุดคือ “คดีอาญา” ถูกขยายให้เป็น “การทำลายล้างความเชื่อ” ไปเสียแล้ว
•…แม้จะเริ่มต้นจากการตามจับ “พระธัมมชโย” ในข้อหาอันเกิดจากการ “โกงกันในสหกรณ์คลองจั่น” แต่วันนี้ที่กองกำลังระดมทั้ง “ตำรวจ” และ “ทหาร” พร้อมกับ “ปฏิบัติการเข้มข้น” ทำให้ “ฝ่ายธรรมกาย” หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น “ปลุกเร้าสาวกให้คิดว่าความเชื่อของพวกเขาจะถูกทำลาย” ทำให้ “คดีอาญา” เปลี่ยนไปสู่ “สงครามความเชื่อ” ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ด้วยประวัติศาสตร์โลกรับรู้กันอยู่ว่า “ลองว่ามนุษย์ลุกขึ้นมาปกป้องความเชื่อของตัวเองเมื่อไร ความพร้อมที่จะเผชิญหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นต่อความรุนแรงจะเกิดขึ้น”
•…แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเกิดความเศร้าสลดใจที่มี “ผู้สละชีวิตผูกคอตายเพื่อปกป้องธรรมกาย” และแม้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด จะขอร้องให้ “ศิษยานุศิษย์ของธรรมกาย” อยู่ใน “สติ” เพื่อให้มีปัญญาไตร่ตรองในทางออกมากกว่า “การใช้อารมณ์” แต่ความห่วงใยนั้นไม่สามารถแพร่เข้าไปใน “ท่าทีของผู้คนจำนวนไม่น้อย” ที่แสดงออกกันกึกก้องในโลกออนไลน์ และโลกความเป็นจริง ด้วยท่าที “สะใจ” และใช้ถ้อยคำที่ “หมิ่นหยามความเชื่ออย่างรุนแรง” เป็น “การหมิ่นหยาม” ในท่วงทำนองเข้มข้นของ “การใช้อำนาจรัฐ”
•…การใช้แค่ “ความเชื่อมั่น” ว่า “การใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด เข้มข้น” จะทำให้ “สถานการณ์สงบเรียบร้อยลงได้” น่าจะ “ไม่เพียงพอ” ด้วยน่ากังวลไม่น้อยว่า “สถานการณ์อาจแปรเปลี่ยนเป็นบานปลาย” ดังนั้นหากเป็นไปได้ การทบทวนด้วยการประเมินความเป็นไปอย่างรอบด้าน ผ่อนเบาความรู้สึก “น้อยเนื้อต่ำใจ” ไม่ให้แปรเป็น “การปักหลักสู้แบบจนตรอก” ซึ่งเสี่ยงต่อภาพของความรุนแรง น่าจะเป็น “การใช้สติ” ที่มีประสิทธิภาพในอีกทาง
ชโลทร