‘ศิริกัญญา’ จี้ ‘แพทองธาร’ ตอบรายละเอียดนโยบายต่างๆ ด้วยตัวเอง เหตุไม่รู้ต้องตรวจสอบใคร เหน็บ อยากเห็น ‘นายกฯ’ มีแสงสว่างในตัวเอง ไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่รอแสงจากพระอาทิตย์ ถามสุดท้ายแล้ว ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ จะจบที่ตรงไหน
เมื่อเวลา 17.07 น. วันที่ 12 กันยายน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาร่วมกันของรัฐสภา ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ขอเรียกคำแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า “จีพีเอส” ย่อมาจาก Government Policy Statement ซึ่งจะเป็นตัวชี้ว่านโยบายจะนำพาประเทศเดินไปในทางใด ถือว่าสำคัญกับรัฐบาลเพราะมีความยุ่งยากซับซ้อน เนื่องจากรัฐบาลนี้เกิดจากการผิดคำพูด ผิดสัญญาไปแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งก็มีความผิดหวังเสียใจจากการที่ไม่สามารถส่งมอบนโยบายมาแล้ว และการแถลงนโยบายครั้งนี้ของรัฐบาลควรจะกู้คืนความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนให้กลับคืนมา ควรเป็นสัญญาที่มีความหนักแน่นว่าจะทำอะไร เมื่อไหร่ ด้วยวิธีการอย่างไร ย้ำว่าการแถลงนโยบายของรัฐบาลถือเป็นความสำคัญของระบบประชาธิปไตยที่จะได้ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เคยได้สัญญาไว้กับประชาชน
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เมื่อตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วก็พบว่าไม่ได้ต่างจากรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เท่าไหร่ ยังเป็นจีพีเอสที่พาเราหลงทางอยู่เหมือนเดิม เพราะใช้คำกว้างๆ ฟังแล้วก็ถูกอีก ได้แค่พยักหน้า แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไร ชอบใช้คำว่าเร่งรัด แต่ไม่ได้บอกว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ขาดความชัดเจนว่าตัวชี้วัดที่เป็นตัวเลขที่ประชาชนจะสามารถติดตามต่อได้ ขณะที่การกำหนดเป้าหมายก็เขียนไว้โดยไม่มีโครงสร้าง แต่ไปอยู่ที่สุดท้ายเพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมกันเพื่อให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เพื่อนำพาความภาคภูมิใจมาให้คนไทย แต่ต้องบอกว่าเป้าหมายไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ผ่านมา ตนก็ยังมอบมงให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะบอกชัดเจนในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะเป็นอย่างไร ในปีไหน โดยรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความชัดเจนในรายละเอียดมาก จนไม่แน่ใจว่าทำไมจึงไล่คนเขียนนโยบายออก
น.ส.ศิริกัญญากล่าวอีกว่า การที่ไม่เขียนนโยบายให้มีความชัดเจนก็จะมีปัญหาตรงที่หากประชาชนกลับมาเช็กว่ารัฐบาลได้ทำตามนโยบายหรือไม่ พอประชาชนทวงถามก็จะเถียงกันได้ไม่จบว่าทำแล้ว หรือยังไม่ได้ทำ ซึ่งเราก็ยังพอมีดิจิทัลฟุตพรินต์ที่ตอนพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียงไว้ชัดเจน แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ค่าแรง 600 บาท เหลือแค่ค่าแรงเป็นธรรม, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน ก็เหลือแค่เงินเดือนเป็นธรรม และบางนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธารกลับจางหายไป เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ แต่ที่ตกใจมากคือเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตหนึ่งหมื่นบาทที่ปกติเขียนไว้ชัด แต่การแถลงนโยบายรอบนี้คำว่าหนึ่งหมื่นบาทกลับหายไป ขออย่าทำให้ใจเสีย และรีบตอบมาว่าสรุปแล้วหนึ่งหมื่นบาทจะยังได้อยู่หรือไม่ เพราะประชาชนก็ทวงถามมาว่ายังเป็นหนึ่งหมื่นบาทอยู่หรือไม่
น.ส.ศิริกัญญากล่าวด้วยว่า แต่นโยบายที่เพิ่มขึ้นมาคือรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แปลงร่างมาเป็นค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย ทำให้นโยบายไม่เหมือนกับที่เคยหาเสียงไว้ แต่ไปเหมือนกับวิสัยทัศน์ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงกัน 11 ประเด็น จาก 14 ประเด็น เช่น เรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่บอกจะแจกกลุ่มเปราะบางก่อน, ขุดเศรษฐกิจใต้ดินเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์, การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือว่าจะมีปัญหา
“การที่ไม่รู้ว่าใครเขียน ใครคิด ใครเป็นคนวางนโยบายนั้น ทำให้การตรวจสอบทำได้ยาก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนดนโยบายตัวจริง หากมีปัญหาต้องไปถามใคร เมื่อทำแล้วก็ไม่รู้ว่าต้องไปตรวจสอบใคร ยิ่งไปกว่านี้หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ การประชุม ครม.ก็จะเหลือการประชุมแค่พิธีกรรม เพราะเรื่องสำคัญอาจจะไม่ได้ตัดสินใจบนโต๊ะประชุม ครม. แต่ไปถูกตัดสินใจมาแล้วจากที่อื่นแล้ว เราก็ไม่รู้ได้เลยว่าใครคือตัวจริง
อีกประเด็นที่มีปัญหาคือ เราจะเห็นว่าแม้คำพูดเหมือนกัน ถ้อยคำที่เหมือนกัน แต่ฟังแล้วก็รู้ว่าให้เอฟเฟ็กต์ไม่เหมือนกัน เราอยากเห็นนายกฯที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้ ว่าท่านนี่แหละที่จะเป็นคนที่ดำเนินนโยบายที่แถลงได้เอง ซึ่งยังไม่สาย เพราะตอนที่อ่านคงต้องอ่านไปตามกฎหมาย วันนี้จึงขอให้ท่านมาตอบด้วยตัวเองถึงเรื่องรายละเอียดต่างๆ เพราะเราอยากเห็นนายกฯที่มีแสงสว่างในตัวเอง เป็นดาวฤกษ์ ไม่ใช่ดาวเคราะห์ ที่สว่างจากการส่องแสงของพระอาทิตย์ แล้ววันที่พระอาทิตย์สว่างจ้า เราจะไม่เห็นดวงจันทร์” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อว่า ใน 1 ปีที่ผ่านมาเรายังไม่เห็นนโยบายอะไรที่จะเป็นมาตรการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไปถึงรากหญ้าออกมา งบกลางที่นำออกมาก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะต้องกั๊กไว้ใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีการเปลี่ยนแหล่งที่มาของเงินเป็นรอบที่ 7 แล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นเงื่อนไขต่างๆ อีก ทั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็เคยให้สัมภาษณ์ระบุว่าจะแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด งวดแรก 5,000 บาท หากระบบชำระเงินเสร็จทันก็จะแจกเป็นเงินดิจิทัล แต่หากไม่ทันก็จะแจกเป็นเงินสด วันนี้จึงอยากฟังชัดๆ ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตสุดท้ายแล้วจะไปจบที่ตรงไหน จะยังคงแจกหนึ่งหมื่นบาทเหมือนเดิมหรือไม่ จะแจกเป็นเงินสดหรือดิจิทัลวอลเล็ต
“ดิฉันคิดว่ารัฐบาลใหม่แล้วคงต้องหยุด แล้วมาตั้งสตินิดหนึ่งว่า พวกท่านพานโยบายเรือธงใหญ่เช่นนี้มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เดาว่าคงมีมือที่มองไม่เห็นที่คอยสั่งอย่างเดียวว่าต้องเอาให้ได้ โดยที่ไม่รู้ว่าหน้างานเป็นอย่างไร กฎหมายเปลี่ยนไปแค่ไหน 20 กว่าปีผ่านมาแล้ว ฐานะการคลังรับได้แค่ไหน เมื่อไม่ได้คิด ไม่ได้มองก็สักแต่จะทำให้ได้ เจ๊งไม่ได้ แต่เสียหน้าไม่ได้ สุดท้ายหน้าก็เสียไปแล้ว และเหมือนเป็นอาการเมาหมัด เงินมีเท่าไหร่ก็แจกๆ ไปก่อน แจกพร้อมกันไม่ได้ก็ให้แจกเป็นเงินสดไป สุดท้ายแล้วไปตายเอาดาบหน้า สุดท้ายแล้วเครดิตจะไม่เหลือ
รวมถึงหลายครั้งก็ชี้นิ้วมาที่ฝ่ายค้านว่าทำให้ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้ต้องล่าช้า แต่อย่าอ้างเลยว่ารับฟังคนเห็นต่าง เมื่อมีคนทักท้วงเลยต้องเปลี่ยนตาม เพราะสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย สุดท้ายเมื่อเปลี่ยนนายกฯ ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรที่เสี่ยงกฎหมายอีกแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่รัฐบาลที่เสียเครดิต เสียความเชื่อมั่น แต่ยังมีข้าราชการด้วยที่เสียคน เพราะต้องออกมาแก้ต่างให้ กลายเป็น 1 ปีที่สูญเปล่า สุดท้ายเงินก็ยังไม่ได้ เสียเวลา เสียสมาธิ เสียโอกาสที่จะใช้งบกลางในการใช้มาตรการอื่นๆ กระตุ้นเศรษฐกิจ และพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่แทนที่จะกระแทกตอนนี้ก็อ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับเครดิตและความเชื่อมั่นของรัฐบาล จึงขอฟังชัดๆ ว่าสรุปแล้วผลต่อเศรษฐกิจสุดท้ายแล้วจะเป็นเท่าไหร่” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
น.ส.ศิริกัญญากล่าวอีกว่า ขอดักคอไว้ก่อนว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวตามอัตภาพ แม้จะไม่มีดิจิทัลวอลเล็ตไตรมาส 3 ก็โตเกือบ 3 เปอร์เซ็นต์แล้ว และไตรมาส 4 ก็โตเกือบ 4 เปอร์เซ็นต์แล้ว ฉะนั้น ห้ามเคลมว่าที่โตเท่านั้นเพราะฝีมือของรัฐบาล นอกจากนี้ รัฐบาลมองเรื่องการปฏิรูปราชการเพียงแค่ว่าต้องลดขนาด เพิ่มประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่มีการพูดถึงการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่แท้จริงของความอุ้ยอ้าย ความซ้ำซ้อน และความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการ
“ขอให้ช่วยกลับมาคิด กลับมาโฟกัสกับเรื่องการปฏิรูประบบราชการ เพราะไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างที่ใจหวัง และนี่เป็นบทพิสูจน์สำคัญของรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถเคลมเครดิตจากอะไรที่เคยสำเร็จไว้ในอดีตได้หรือไม่ เพื่อพิสูจน์ว่าน้ำยา หรือประสิทธิภาพที่เคยมีเมื่อ 20 ปีก่อนจะยังคงอยู่หรือไม่ ซึ่งถ้าอ่านจากการวิเคราะห์นโยบายที่ออกมาเรื่องการปฏิรูประบบราชการ ดิฉันไม่เห็นว่าจะเป็นทางออกทางรอดของการปฏิรูปผ่านถ้อยคำแถลงครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ที่ลุกขึ้นมาตอบคำถามเหล่านี้ด้วยตัวเอง” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อิ๊งค์ หารือ นายกฯออสเตรเลีย ปลื้ม หมูเด้ง บูมท่องเที่ยว ชมไทย มีพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม
- พีมูฟ เรียกขวัญ ‘แพทองธาร’ วอนสนใจความเดือดร้อนปชช. จี้ตั้ง กก.ชุดใหม่แก้ปัญหา
- สนธิญา บี้นายกฯอิ๊งค์ สั่งปลดณัฐวุฒิ ขู่ร้องอสส. ขีดเส้นสัปดาห์หน้า ถ้าเฉย เจอดีแน่
- เรียงคนมาเป็นข่าว : ภาพข่าวสังคมวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2567