‘พริษฐ์’ ซัดรัฐประหาร ทิ้ง 3 มรดกฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ จี้ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ไม่ขวางแก้ กม.ลดบทบาทกองทัพ
เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ในช่วงที่เปิดให้สมาชิกปรึกษาหารือถึงปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ นั้น
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้เรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รีบลบล้างมรดกของคณะรัฐประหาร ที่ยึดอำนาจจากประชาชน ในวันนี้ (19 ก.ย.) เมื่อ 18 ปีที่แล้ว เป็นมรดกที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศมาจนถึงปัจจุบัน มรดกที่หนึ่งคือร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบบริหารราชการกลาโหม 2551 ที่ทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน เรื่องของนโยบาย งบประมาณ และเรื่องของการแต่งตั้งนายพลยั้วเยี้ย ซึ่งประเด็นนี้ตนอยากหารือกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้มีมติเห็นชอบต่อการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหม ของพรรคประชาชนที่เสนอต่อสภาแล้ว และ ครม.ได้ดึงกลับไปศึกษา และหาก ครม.จะเสนอร่างของตัวเองเข้ามา ก็ขอให้เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ในการปรับลดอำนาจของสภากลาโหมจากสภาที่ครอบงำ ครม. เป็นสภาที่ให้คำปรึกษากับ ครม.
นายพริษฐ์กล่าวต่อว่า มรดกที่สองคือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ.2551 ที่ได้ฟื้นคืนชีพ กอ.รมน. และขยายบทบาทจนล่าสุดนั้น ได้ออกมาข่มขู่เพื่อที่จะพยายามแบนหนังสือของนักวิชาการ แทนที่จะออกมาแถลงเกี่ยวกับการชี้แจงในประเด็นที่หน่วยงานเห็นว่าหนังสือดังกล่าวมีการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ซึ่งประเด็นนี้ตนอยากหารือกับนายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.สูงสุดของ กอ.รมน. ว่ารู้เห็นเป็นใจกับการแถลงข่าวดังกล่าวหรือไม่ หากใช่ ขอให้พิจารณายุติการดำเนินนโยบายที่เป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ แต่หากท่านไม่ได้รับทราบมาก่อน ก็อยากให้ท่านหยุดปล่อยให้กองทัพสามารถทำตามอำเภอใจ และขี่คอรัฐบาลพลเรือนเหมือนที่เป็นอยู่
นายพริษฐ์กล่าวต่อว่า ส่วนมรดกที่สาม มรดกสุดท้าย คือการแก้ไขมาตรา 30 ของ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ นำไปสู่การปกครององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้มีการยกเลิกข้อความที่เคยกำหนดไว้ว่ารัฐบาลจะต้องเพิ่มสัดส่วนรายได้ท้องถิ่นขึ้นมาถึง 35% ภายในปีไหน ทำให้ตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวค้างอยู่ที่ 29% และลดไปอยู่ที่ 29.1% 2 ปีติด ภายใต้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ดังนั้นขอให้รัฐบาลเพิ่มสัดส่วนรายได้ท้องถิ่นให้ถึง 35% ภายใน 2 ปีงบประมาณที่เหลืออยู่ของรัฐบาลชุดนี้ และหากพรรคประชาชนเสนอแก้กฎหมายดังกล่าวเข้ามาอีกครั้งก็อยากให้ น.ส.แพทองธาร ไม่ทำเหมือนกับนายเศรษฐา ที่ปัดตกร่างดังกล่าว ไม่ให้ได้เข้ามาสู่การพิจารณาของสภา