พริษฐ์ จี้ รบ. กางโรดแมป รธน.ใหม่ ได้ทันเลือกตั้งไหม เสนอแพคเกจแก้รายมาตรา ลบล้างผลพวงรปห.

พริษฐ์ จี้ ‘รัฐบาล’ กางโรดแมปให้ชัดได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อไหร่ ทันเลือกตั้งรอบหน้าหรือไม่ เสนอแพคเกจแก้ รธน.รายมาตรา ริบอำนาจศาลรธน.-องค์กรอิสระตีความมาตรฐานจริยธรรม พร้อมยกเลิกอำนาจไต่สวนใครฝ่าฝืนจริยธรรม หวังร่างประสบความสำเร็จ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 20 กันยายน ที่ห้อง Smart Classroom ชั้น 7 อาคารเกษม อุทยานิน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนาโครงการเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ “ทบทวนรัฐธรรมนูญ 2560 สู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่” โดยมีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.), นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.), นายประภาส ปิ่นตบแต่ง ส.ว., นายเข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายจำนงค์ หนูพันธ์ุ อดีตประธานขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ร่วมเสวนา และรศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ

พริษฐ์

โดยนายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเส้นทางที่ 1 ที่เราต้องเดินแน่นอนคือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด แต่จะเดินเส้นนี้อย่างเดียวคงไม่พอ เพราะกระบวนการบางอย่างต้องใช้เวลา แม้จะเร่งเร็วที่สุดไม่มีอุปสรรคอะไรเลยก็อาจจะใช้เวลา 1-2 ปี ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการเดินเส้นทางที่ 2 คู่ขนานไปคือการแก้ไขรายมาตราในประเด็นที่จำเป็นเร่งด่วน เพื่อแก้ไขบางปัญหาไปล่วงหน้าก่อน ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาบางร่างในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ไม่สัปดาห์หน้าก็สัปดาห์ถัดไป ทั้งนี้ เกณฑ์ที่จะใช้วัดว่าเราแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จหรือไม่ มี 2 เกณฑ์คือความชอบธรรมทางประชาธิปไตยและโดยเร็วที่สุด เพราะหากเราจะทำเพียงแค่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็วที่สุด โดยไม่สนใจเรื่องความชอบธรรม ตนคิดว่าก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า หากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยนั้น พรรคปชน.มองว่าต้องสะท้อนความคิด ความฝัน และความต้องการของคนทุกคน ซึ่งหากจะวางนิยามที่ทำให้รัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในเชิงรูปธรรมควรมี 3 องค์ประกอบ คือ 1.สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์, 2.คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ สสร.อาจจะตั้งขึ้นมานั้น ควรมีองค์ประกอบที่เป็นธรรมกับประชาชนและเป็นธรรมกับแต่ละฝ่ายทางการเมือง ซึ่งเมื่อตนไปดูโมเดลที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอไว้เมื่อปีที่แล้ว ก็มีความกังวลเล็กน้อยเพราะในจำนวน 47 คนนั้น 24 คนมาจาก สสร. แต่อีก 23 คนเป็นคนนอกที่มาสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แยกจากส.ส. และ ส.ว. แต่เมื่อรวมโควตาของครม.กับส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแล้วจะอยู่ที่ 14 คน ขณะที่โควตาของส.ส.พรรคฝ่ายค้าน อยู่ 4 คน และส.ว. 5 คน ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบที่ไม่สมดุล

Advertisement

นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับองค์ประกอบที่ 3.เมื่อ ส.ส.ร.จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ควรนำร่างดังกล่าวไปทำประชามติ โดยไม่ต้องให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน เพราะ ส.ว.ยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งหากจะให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน ก็อาจจะเปิดช่องให้ตัวแทนที่อาจจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง สามารถเข้ามาแทรกแซง ปรับแก้เนื้อหาบางประการได้ แม้อาจจะส่งมาที่รัฐสภาได้แต่ต้องไม่เปิดให้ลงมติ เพียงแค่เปิดให้สมาชิกรัฐสภา อภิปรายแล้วนำความเห็นนั้นบันทึกไว้ เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ประกอบตอนลงประชามติ ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลกางโรดแมปให้ชัดว่าการแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่บอกว่าจะทำให้เร็วที่สุดนั้น จะได้เมื่อไหร่และทันการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่

พริษฐ์

Advertisement

นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับแพคเกจการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่พรรค ปชน.มองว่ามีความสำคัญ เร่งด่วน และเป็นไปได้จริง ซึ่งเราได้เดินหน้าแล้ว 2 แพคเกจ โดยแพคเกจแรกคือ การลบล้างผลพวงรัฐประหาร เพราะมองว่าฝ่ายการเมืองที่อาจจะเห็นต่างในบางเรื่องนั้น แต่คงเห็นตรงกันว่าไม่ควรมีรัฐประหารแล้ว โดยแบ่งเป็น 3 ร่างคือ การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติฉบับคสช. เพื่อคืนอำนาจในการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์กลับไปที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและประชาชน, การทลายเกราะคุ้มกันคำสั่ง คสช. หรือการยกเลิกมาตรา 279, เติมพลังป้องกันรัฐประหาร คือการเพิ่มหมวดในการป้องกันการทำรัฐประหาร เช่น การเพิ่มสิทธิของประชาชนในการต่อต้านการรัฐประหาร, เพิ่มหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการไม่ทำตามผู้บัญคับบัญชาหากมีคำสั่งให้ไปยึดอำนาจ, การห้ามไม่ให้ศาลรับรองการรัฐประหาร

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า แพคเกจที่สองคือ การตีกรอบอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ โดยการตีกรอบอำนาจเรื่องของการยุบพรรคการเมือง ที่จะพยายามทำให้พรรคการเมืองยึดโยงกับประชาชนมากขึ้นคือการทำให้พรรคการเมืองเกิดง่าย อยู่ได้ ตายยาก ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับพรรคการเมือง ส่วนการตีกรอบอำนาจเกี่ยวกับมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 กลับให้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระไปนิยามว่าอะไรคือมาตรฐานจริยธรรมและนำคำนิยามนั้นไปบังคับใช้กับทุกองค์กร รวมถึงให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระมีบทบาทหลักในการไตร่สวน วินิจฉัยว่าการกระทำอะไรที่ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม

พริษฐ์

สิ่งที่เรากังวลคือการผูกขาดอำนาจมาตรฐานจริยธรรมในลักษณะนี้ ขณะที่การได้มาซึ่งองค์กรอิสระก็มีการตั้งคำถามว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางได้จริงหรือไม่ และเป็นการไปเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้บทบัญญัติเหล่านี้ก่อให้เกิดการตีความกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจนแน่นอน ไม่เป็นธรรม สุ่มเสี่ยงที่จะใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ เรื่องจริยธรรมจะถูกใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองโดยผู้มีอำนาจเดิมที่เกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้” นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ส่วนข้อเสนอของพรรคปชน. มี 4 ข้อ คือ

  1. ต้องแยกกลไกการตรวจสอบจริยธรรมออกจากการตรวจสอบการทุจริต โดยให้การพูดถึงจริยธรรมเป็นการรับผิดชอบทางการเมือง แต่การตรวจสอบการทุจริตควรมีกลไกทางกฎหมาย
  2. การยกเลิกการให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมีอำนาจผูกขาดการนิยามมาตรฐานจริยธรรม แต่พยายามให้แต่ละองค์กรกำหนดมาตรฐานจริยธรรมของตนเองที่เหมาะกับการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กร
  3. ยกเลิกอำนาจที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมีบทบาทหลักในการไต่สวนและวินิจฉัยว่ากรณีไหนเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม
  4. ปรับกระบวนการที่ประชาชนหรือสมาชิกรัฐสภาสามารถยื่นเรื่องร้องได้ หากเห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ใช้อำนาจโดยไม่ชอบ ให้มีความรัดกุมมากขึ้น และลดบทบัญญัติที่ปัจจุบันมีการให้ดุลยพินิจของประธานสภาฯ ในการตัดสินใจว่าจะยื่นเรื่องต่อหรือไม่ แต่จะแก้ให้ประธานสภาฯ​ เป็นเพียงแค่คนส่งเรื่องเท่านั้น

ทั้งนี้ การที่เราเสนอสองแพคเกจใหม่รอบนี้ เพราะมีส.ว.ใหม่เข้ามา และหวังผลว่าร่างเหล่านี้จะประสบความสำเร็จ

พริษฐ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image